“หลุด” ถี่ๆ แม้ยังไม่ถึงขั้น “วิกฤติสื่อสาร” แต่ก็ชักน่าห่วง แต่เชื่อว่านาทีนี้ “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” ได้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นกว่าที่เคยเข้าใจ บริหารประเทศต่างจากบริหารธุรกิจ สุดกู่เพียงใดสไตล์คิดเร็ว ทำไว สั่งการทันที มีดีที่ผลลัพธ์ประโยชน์สูงสุดทางธุรกิจ แต่ในการบริหารบ้านเมืองและการเมืองมีปัจจัยเกี่ยวข้อง พลั้งเผลอพูดคาบลูกคาบดอกส่งผลหนักหน่วง มีเอฟเฟกต์กระทบเข้าตัวกรณีพลาดพูดคลุมเครือให้คนตีความเกี่ยวโยงปม “ตั๋วเพื่อไทย” ฝากตำรวจ “ผู้กำกับ” มีคนสมหวัง ไม่สมหวัง กลายเป็นคิวร้อนมาหลายวันจน “นายกฯเศรษฐา” ต้องเร่งเคลียร์ปมร้อน ยกคิวที่สื่อสารในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เพราะรับข้อร้องเรียนจาก สส. เกี่ยวกับข้อติดขัดกลไกข้าราชการทำงานตามนโยบายรัฐทั้งเรื่องแก้ปัญหายาเสพติด ไปจนกระทั่งคิวใหญ่รัฐบาลเพื่อไทย “แก้หนี้นอกระบบ” ที่นายกฯจะคิกออฟ ล้างหนี้ทั้งในและนอกระบบต้นเดือน ธ.ค.ผู้นำย้ำคีย์เวิร์ด เป็นเรื่องสื่อสารถึง “ความ” ไม่ใช่ “คน” ย้ำวลี “นายกฯไม่ได้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”นั่นก็พอถูไถฟังได้ แม้โดนเหน็บจากฝ่ายค้าน แจง “สีข้างถลอก” ก็ต้องยอมปล่อยเลือดซิบเล็กน้อยที่สำคัญพอจะเป็นตัวช่วยผ่อนแรงกระแทกชั้นดี “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ออกมาช่วยเคลียร์คัตตัดกระแสร้อน ย้ำไม่มีตั๋ว ไม่มีใบสั่งใบเสร็จโยงผู้นำในคิวแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของ ตร.แน่นอนแม้จะเป็นการพูดตามสคริปต์ ฝ่ายคุมนโยบายตำรวจ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล ยังไงก็ต้องออกทรงนี้อยู่แล้วแต่อย่าลืมว่าในห้วงที่ปมร้อน “ตั๋วเพื่อไทย” แทรกเข้ามา มีแรงขย่มเขย่าทั่วทิศ ถึงขั้นมองข้ามช็อตถึงการ “เปลี่ยนแปลง” จนทีมรัฐบาลต้องไล่เช็กสัญญาณและเมื่อดีกรีระดับ “ผบ.ต่อ” เครื่องรับสัญญาณชั้นดี ยังส่งเสียงแข็งขันอยู่ข้างผู้นำ นั่นก็พออนุมานได้คร่าวๆ นาทีนี้แม้เก้าอี้ผู้นำเจอเขย่าขย่มถาโถม แต่ก็แค่ทำเซยังไม่ถึงโซนอันตราย จนหงายเงิบข่าวลอยลม ยังเป็นแค่กระแสที่ปล่อยมา หวังผลเป็นสารตั้งต้น กระตุ้นสู่การเปลี่ยนแปลง และเอาเข้าจริงเพิ่งแค่ 3 เดือนบนเก้าอี้นายกฯ ยังแค่สอบเทอมเล็ก1 ไตรมาส ไม่ถึงคิวตัดเกรด ประเมินผลให้ผ่าน-ให้ตก ปรับตัวผู้เล่นแต่ก็นั่นแหละ อย่างที่ “นายกฯเศรษฐา” ก็รู้ดี วันนี้นอกจากต้องแบ่งเวลาเคลียร์คิวแทรก ทั้งแรงต้านขึงขังเอาให้ร่วง บอร์ดตระกูลชินฯชักเป็นห่วง ส่งสัญญาณลูกค่ายเพื่อไทยออกมาช่วยเคลียร์เกมและอีกทางก็ต้องถอยมาสรุปบทเรียน ที่ต้องเสียจังหวะ เพราะสไตล์ส่วนตัว คิดไว ทำไว พูดไวและถ้าไม่มองฝ่ายค้านฝ่ายต้าน ที่ออกมากระแทกใส่กันแรงๆก็น่าเก็บมาปรับใช้ อย่างที่ด่ากราดไปแต่ก็เสนอแนะผู้นำ “อย่าพูดทุกคำที่คิด ให้คิดทุกคำที่พูด” ก็ตรงเผงเลยเหมือนกันเหนืออื่นใด เพราะ “ความ” ถูกมองในทางลบ “ความ” ในทางสร้างสรรค์เลยสะดุดอย่างนโยบายที่จะเร่งเดินเครื่อง ทั้งแก้หนี้ในระบบ-นอกระบบ ล้างหนี้ครัวเรือนยอดพุ่งทะลุเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เป็นปมหมักหมมรอสะสาง ไปจนกระทั่งดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทที่ยังปุเลงๆฝ่าแรงต้านส่อกลายเป็น “ไม่เร่งด่วน” กันไปแล้วยังไม่รวมนโยบายเรือธงอื่นๆรอเข็นจากฝั่งชะงักไปหมด ทั้ง “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” เมกะโปรเจกต์ “แลนด์บริดจ์” รวมถึงเตรียมแผนรับนักลงทุนที่ไปเล่นบท “เซลส์์แมนประเทศ” ฯลฯจึงน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญ อย่างที่หลายฝ่ายเสนอผู้นำ โดยนอก “วิกฤติการสื่อสาร” ปัญหาขาดคนขาดมือดี ทั้งทีมงานช่วยด้านการสื่อสารต่อสาธารณะที่ทันเกมฝ่ายกฎหมายรัฐบาล งานความมั่นคง ผ่านมา 1 ไตรมาสรัฐบาล ก็พอเห็นแล้ว แค่จูนเครื่องไม่พอคงต้อง “เติมคน” เสริมทัพด้วยมืออาชีพที่สำคัญสุดคือ ท่าทีผู้นำต้องทรงตัวตั้งหลักให้ได้ วาจาวาทีน่าจะถึงคิวปรับให้ “นิ่ง” มากขึ้นปล่อยให้ “เนื้องาน” อธิบาย “ความ” บ้างก็ดี.ทีมข่าวการเมือง