ขอแสดงความยินดีและนับถือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังจากที่ครองอำนาจมากว่า 9 ปี การวางมือทางการเมืองแสดงว่าไม่ยึดติดอำนาจ และยอมรับผลการเลือกตั้ง แม้พรรค รทสช.จะได้ ส.ส.มา 36 คนเมื่อรวมกับพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุง” อีกคน คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อีก 40 คน เป็น 76 คน จาก ส.ส.ทั้งหมด 500 คน ทั้งสองพรรคสืบทอดอำนาจมาจากคณะรัฐประหาร คสช. ถ้าคิดที่จะสืบทอดอำนาจด้วย 76 ส.ส.ก็อาจจะทำได้ ถ้าไม่เห็นแก่ประเทศและประชาชนพล.อ.ประยุทธ์เคยยืนกราน ไม่ยอมลงจากอำนาจ แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ในเดือนสิงหาคม 2565 แต่ได้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่พึ่ง จึงอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ศาลวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกฯ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557 แต่เพิ่งดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560เป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 พล.อ.ประยุทธ์เป็น 1 ในบรรดาผู้นำกองทัพที่เป็นหัวหน้ารัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง บางคนถูกยกย่องเป็น “ขวัญใจประชาชน” แต่จบลงด้วยการถูกตราหน้าเป็น “ทรราช” บางคนอยู่ในตำแหน่งยาวนาน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบนักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์บางท่านกล่าวว่า อำนาจทำให้คนเหลิง ยิ่งเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใครตรวจสอบถ่วงดุล ยิ่งลุแก่อำนาจแบบหัวปักหัวปํา ใครที่เคยมีอำนาจเด็ดขาด แต่วางมือได้ เป็นบุคคลที่น่านับถือ กล้าลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม แต่ผู้เผด็จการหลายคนเสพติดอำนาจ จนถูกเสือเขมือบคำประกาศวางมือการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าได้ทำงานอย่างมุ่งมั่น เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประโยชน์ประชาชน ถือว่าทำได้ดีในด้านการบริหารราชการ แต่มีเสียงวิจารณ์ว่าล้มเหลวในการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ การขจัดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำหวังว่าการประกาศวางมือทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีรักษาการ จะเป็นการวางมือที่แท้จริง ไม่ใช่การเล่นเกมการเมือง เพื่อช่วงชิงอำนาจ “เพื่อคืนความสุขให้ประชาชน” ตามสัญญาในบทเพลงเมื่อเข้าสู่อำนาจ เหมือนกับวาทะของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ว่า “ผมพอแล้ว” ที่ประทับใจคนไทยทั้งประเทศ.