วันพรุ่งนี้แล้วครับ 13 กรกฎาคม 2566 เป็นวันลุ้นระทึก “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย” เวลา 09.30 น. นายวันมูหะมัดนอร์มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา เรียกประชุมร่วมรัฐสภาเป็นครั้งแรก เพื่อ “พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” การโหวตเลือกนายกฯ ครั้งนี้ 8 พรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบให้เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ตามมติเสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคก้าวไกลเป็นอันดับหนึ่งกว่า 14 ล้านเสียง ส.ส. 151 คน8 พรรคร่วมรัฐบาล มี ส.ส.รวมกัน 312 เสียง เกินครึ่งของสภาผู้แทนฯ 500 คนแต่การโหวตเลือกนายกฯครั้งนี้ กลับมี “กลไกกับดัก” ที่ รัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ คสช.ฝังเอาไว้เพื่อสืบทอดอำนาจคือ ให้ ส.ว.ลากตั้ง 250 คน มีอำนาจเลือกนายกฯด้วย ทั้งที่เป็นสภาแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าการโหวตครั้งแรก คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ไม่ถึง 376 เสียง (รวมเสียง ส.ว.ด้วย) เบื้องต้นประธานรัฐสภากำหนดให้มีการโหวตครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ในวันที่ 19 และ 20 กรกฎาคมส่วนตัวผมคาดว่า คุณพิธาอาจจะได้รับการโหวตเป็นนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคมเลย โหวตครั้งเดียวจบ ไม่ต้องไปโหวตครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 อีกเหตุผลก็คือ ส.ว.มี 250 คน แต่คนที่ออกมาคัดค้านมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส.ว.ส่วนใหญ่อีก 200 กว่าคนกลับเงียบไม่ได้พูดอะไรเลย ส.ว.บางท่านประกาศอย่างเปิดเผยเลยว่าใจะโหวตตามเสียงของประชาชน เช่น คุณ วุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเปิดเผยว่า จะขอน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันเปิดประชุมรัฐสภามาเป็นแนวทางในการปฏิบัติดังนี้“...ประเทศชาติ จะมีความเจริญเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความสามารถและความสุจริตบริสุทธิ์ของท่านที่จะปฏิบัติหน้าที่ทั้งปวง โดยยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด...” ส.ว.วุฒิพันธุ์ ยังได้ สั่งสอน ส.ว. ที่ออกมาต่อต้านเสียงของประชาชนว่าการแสดงความคิดเห็นในลักษณะ รณรงค์ต่อต้าน ขัดขวาง การขึ้นสู่ตำแหน่งของบุคคลบางคน ด้วยการสร้างมายาคติ บนความอคติ โดยก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่น ไม่น่าจะเป็นการกระทำที่เหมาะควรอย่างยิ่ง ความเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติแห่งรัฐสภา ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เสาหลักอำนาจอธิปไตย พึงต้องตระหนักในเกียรติภูมิแห่งความเป็นสมาชิกรัฐสภา และพึงต้องระมัดระวัง ไม่กระทำการใดๆที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 113 ว่าด้วย “สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใดๆ” หรือ มาตรา 114 ว่าด้วย “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวมโดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ก็เป็น ส.ว.อีกท่านหนึ่งที่ออกมาแสดงจุดยืนการโหวตนายกฯว่า จะใช้เหตุผลตามการเลือกตั้งปี 2562 เลือกคนที่พรรคการเมืองที่รวมตัวกันเกินครึ่งเสนอเป็นนายกฯ โดยให้สัมภาษณ์ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่า การนำเหตุผลเรื่อง 112 หรือเรื่องอื่นๆมาพูด มันเป็นคนละเรื่องกับการเข้าสู่นายกรัฐมนตรี การทำกฎหมายก็ต้องว่าไปตามระบบกฎหมายคือรัฐสภา ตอนเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯในปี 2562 เราก็ไม่ได้ไปแคะเหตุผลอะไรมากมายเลยฟังเสียง ส.ว. ที่เป็นพลังเงียบ แบบนี้แล้ว ก็เป็นไปได้สูงว่า พลังเงียบ ส.ว. 200 กว่าเสียง อาจจะ เลือกคุณพิธาเป็นนายกฯแบบม้วนเดียวจบก็ได้ ประเทศไทยจะได้เดินหน้าต่อไปเสียที เสียเวลาไปกับ ส.ว.ลากตั้งมา 4 ปีกว่าแล้ว.“ลม เปลี่ยนทิศ”