ขณะที่พรรคอื่นๆ วุ่นอยู่กับการเลือกประธานรัฐสภา และเดินหน้าเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเลือกหัวหน้าพรรค พร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่ หลังจากที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคคนก่อนลาออก เพื่อรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง ที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้ยับเยินได้ ส.ส.กลับมาแค่ 25 คน จาก 52 คน ที่ได้เมื่อปี 2562 อดีต ส.ส.บางคนโอดครวญว่า เราเคยมี ส.ส.เกิน 100 มาโดยตลอด ไม่เคยคาดคิดว่าจะตกต่ำขนาดนี้ จากพรรคใหญ่กำลังจะกลายเป็นพรรคเล็ก สูญเสีย ส.ส. กทม.ทั้งหมด และ ส.ส.ภาคใต้บางส่วน ติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง เพราะโลกเปลี่ยนการเมืองของประเทศไทยก็เปลี่ยน แต่พรรค ปชป.ปรับตัวไม่ทัน พรรค ปชป.เคยได้รับการยกย่องเป็นสถาบันการเมืองเก่าแก่ ที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ต่อต้านเผด็จการ มีความเป็นประชาธิปไตย แม้แต่ในพรรค ไม่มีระบบเจ้าของพรรคครอบงำ แต่หลังการเลือกตั้ง 2562 ปชป.เปลี่ยนไปถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย เข้าร่วมรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากรัฐประหาร ขณะที่การเมืองกลับคืนสู่ยุคอุดมการณ์ จากพรรคการเมืองรุ่นใหม่และคนรุ่นใหม่ ทำให้ ปชป.สูญเสียฐานอำนาจสำคัญใน กทม. ซึ่งมี ส.ส. ถึง 32 คน คน กทม.มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง และพร้อมจะเปลี่ยนขั้วกว่าสี่ปีที่อยู่ร่วมรัฐบาล ที่สืบทอด มาจาก คสช. พรรคปชป.ไม่สามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากประชาธิปไตยให้เป็นเต็มใบตามที่สัญญา แก้ไขสำเร็จเพียงประเด็นเดียว คือกลับไปเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ อย่างในอดีต พรรค ปชป.จะมีการเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ผู้แข่งขันที่ยังไม่ชัดเจนมีผู้ที่ประกาศตัวลงแข่งชัดเจน เพียงคนเดียว คือนายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรค ส่วนนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ประกาศ แต่มีเสียงวิจารณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ได้เปรียบ ในด้านความรู้ความสามารถ และประสบการณ์นอกจากมีเสียงเรียกร้องจากภายในพรรค ขอให้เลือกผู้นำพรรค ผู้มีบารมี มีเจตจำนง ที่จะทำพรรคให้เป็นพรรค ไม่ใช่พรรคเป็นบันไดแสวงอำนาจ คำว่า “บารมี” น่าจะหมายรวมถึงเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์ เป็นที่ประทับใจประชาชนด้วย และที่สำคัญอีกอย่าง ต้องไม่ให้ ปชป.ถูกมองเป็นพรรคท้องถิ่น เป็นพรรคคนใต้ ต้องเป็นพรรคแห่งชาติ.