การเลือกนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธาน สภาผู้แทนราษฎร ของกลุ่ม 8 พรรค เป็นไปด้วยความราบรื่น และไร้คู่แข่ง เช่นเดียวกับการเลือกนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน เป็นรองประธานคนที่ 2 แต่ที่ต้องออกแรง คือการเลือกนายปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นรองคนที่ 1นายปดิพัทธ์ ส.ส.สมัยที่ 2 ของพรรคก้าวไกล ต้องต่อสู้กับนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.ไม่รู้กี่สมัย จากพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อมีคู่แข่งจึงต้องลงคะแนนลับ ผลก็คือ ส.ส.ปดิพัทธ์ ชนะขาดลอย ด้วยคะแนนเสียง 312 ต่อ 105 น่าแปลกใจ พรรคลุงไม่สู้ทั้งประธาน และรองคนที่ 2 แต่สู้รองคนที่ 1เป็นการไว้ไมตรี ไม่แข่งกับนายพิเชษฐ์ ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย เลือกที่จะประหมัดกับ ส.ส.พรรคก้าวไกลหรือไม่ การเลือกประธานและรองประธาน เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของพันธมิตร 8 พรรค ที่ทำสัญญาจัดตั้ง “รัฐบาลประชาธิปไตย” ชุดแรก หลังจากที่ประเทศตกอยู่ภายใต้อำนาจนิยมกว่า 9 ปีด่านต่อไปคือการเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นด่านที่หินที่สุด เพราะทั้ง 8 พรรคมี ส.ส.อยู่เพียง 312 เสียง คือคะแนนที่เลือกรองประธานสภาคนที่ 1 จึงต้องการ ส.ว.อีก 64 เสียง แต่ ส.ว.หลายคน ประกาศชัดเจนจะไม่เลือกนายพิธาเป็นนายกฯพันธมิตร 8 พรรค ประกาศตน เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ส่วน ส.ว.อาจเป็น “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะประเทศอังกฤษก็มีพรรคการเมืองชื่อ “พรรคอนุรักษ์นิยม” เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ แต่เป็นอนุรักษ์นิยมที่ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย แต่อนุรักษ์นิยมไทย อาจยึดแนวทางอำนาจนิยมอำนาจนิยมก็คือเผด็จการนั่นเอง อย่างน้อยที่สุดก็เป็น “เผด็จการครึ่งใบ” ที่คณะรัฐประหารใช้ปกครองประเทศ มากว่า 9 ปี โดยมีรัฐธรรมนูญ 2560 และ 250 ส.ว.แต่งตั้ง เป็นกลไกสืบทอดอำนาจ คอการเมืองเชื่อว่า แม้จะแพ้เลือกตั้งยับเยิน แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็อาจลงแข่ง นายกรัฐมนตรีโดยใช้รัฐธรรมนูญและ ส.ว. เป็นกลไกในการสืบทอดอำนาจต่อ เมื่อเร็วๆนี้ “บิ๊กป้อม” ประกาศว่าจะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐตลอดไป การเลือกนายกรัฐมนตรีในอีกไม่กี่วัน จะเป็นบทพิสูจน์ ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้หรือไม่ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” เป็นของจริงหรือหลอกเด็ก.