อากาศร้อนลดดีกรี จากสายฝนที่โปรยปรายทั่วทุกภูมิภาคเมฆครึ้ม ท้องฟ้าอึมครึม บรรยากาศห้วงฤดูฝนล้อไปกับสถานการณ์การเมืองไทย ในม่านหมอกของความวุ่นวาย ภายหลังศึกเลือกตั้งใหญ่ที่ยังไร้ความแน่นอนมืดมน อนธการ มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ณ จุดที่กระบวนการประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.เพิ่งมาถึงขั้นตอนที่นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แพลมข้อมูลเขย่าขวัญให้ระทึกมีว่าที่ ส.ส.ประมาณ 20 คน อยู่ในข่ายโดนแจกใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง จากสำนวนร้องเรียนเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกว่า 280 เรื่องต่อเนื่องกับปรากฏการณ์ “คะแนนเขย่ง” ประธาน กกต.ลงนามคำสั่งให้มีการนับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อใหม่ 31 หน่วยเลือกตั้ง และนับคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ จำนวน 16 หน่วยเลือกตั้ง รวมทั้งหมด 47 หน่วยเลือกตั้ง ใน 16 จังหวัดจากปัญหาบัตรเลือกตั้งและคนมาใช้สิทธิเท่ากัน แต่คะแนนออกมาไม่เท่าจำนวนดังกล่าวและที่ประชุม กกต.เห็นว่า อาจมีผลต่อจำนวนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ และมีผลต่อลำดับของผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อว่ากันโดยกระบวนการ คะแนนยังไม่นิ่ง ยังไม่ชัดตัวเลข ส.ส.และอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้แทน ราษฎร โดยเฉพาะสถานการณ์ของพรรคอันดับหนึ่งอย่างพรรคก้าวไกล กับอันดับสอง พรรคเพื่อไทย ที่ตัวเลขห่างกันแค่ 10 ที่นั่งยังพลิกไปพลิกมาได้ ตามเงื่อนไขการสั่งนับคะแนนใหม่ รวมถึงใบแดง ใบเหลืองตามหลักคณิตศาสตร์การเมืองแบบไทยๆที่แน่ๆ มันยังส่งผลต่อสถานะของ “รัฐบาลแห่งความฝัน” ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถือสิทธิ์พรรคอันดับหนึ่ง รวบรวมเสียงของฝ่ายโหนประชาธิปไตยเดินหน้า “พิธีกรรม” ชิงกระแส พลิกขั้วเป็นผู้นำฝ่ายบริหารแสดงให้ประชาชนฝ่ายสนับสนุนในประเทศไทยและนานาชาติ โดยเฉพาะซีกโลกเสรี ร่วมรับรู้และยินดีกับชัยชนะของทีมเด็กรุ่นใหม่ที่สามารถโค่นอำนาจเผด็จการได้อย่างราบคาบรีบนับศพทหารตั้งแต่สงครามยังไม่สิ้นเสียงปืน ควันระเบิดแต่ของจริงในสนามรบ มันยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ กับตัวเลข 312 เสียงต้นทุนหน้าตักของนายพิธา ที่ยังขาดอีกอย่างน้อย 64 เสียง เพื่อรวมแต้มให้ได้ 376 คะแนน กึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภาหามแห่ผู้นำหนุ่มในจินตนาการขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีด้วยจำนวนเสียง ส.ส.ที่ยังพลิกไปพลิกมา นั่นยังไม่นับการฝ่าด่านอรหันต์ทองคำ เจาะหินอัคนี แคะเสียงสนับสนุนจาก “250 ส.ว.ลากตั้ง”ดูยังไงก็ยังไม่เห็นช่องทางที่ขบวนหามแห่ “พ่อส้ม” ถึงเส้นชัยเรื่องของเรื่อง จำนวนเสียงโหวตหนุน “ผู้นำรัฐบาลแห่งความฝัน” ยังรวมแต้มไม่ติด แต่ที่อำมหิตกว่านั้นก็คือสถานการณ์ “ล็อกเป้าสังหาร”ตามปรากฏการณ์ “ขุดผีไอทีวี” ไล่ล่าผู้นำกองทัพก้าวไกล โดยมือ “สไนเปอร์” อย่างนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ “จอมสอย” แห่งประเทศไทย ที่รับงานฆ่าตัดตอน “พิธา” จากปมถือหุ้นสื่อ เข้าข่ายผิดกฎ หมายเลือกตั้งด้วยผลงานในอดีตเป็นที่ประจักษ์ในการสอยอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ร่วงเก้าอี้ จากปมทำกับข้าวโชว์ออกทีวี ยี่ห้อ “เรืองไกร” จึงอยู่ในระยะ “หวังผลได้”ไม่ใช่ “นักร้องตลาดล่าง” รับงานมั่ว ระดับนี้ไม่ชัวร์ คงไม่รับงานกับปฏิบัติการไล่ต้อนเหยื่อ แบบที่นายเรืองไกรเดินทางเข้ายื่นเรื่องกับ กกต.แล้ว 7–8 รอบ ทั้งร้องเรียนให้ตรวจสอบ ยื่นเอกสารเพิ่มเติม บี้กดดันให้เร่งเช็กบิลยังไม่นับ “แก๊งโรยตะปูเรือใบ” ที่ดักอยู่เต็มสองข้างทางม้าใช้ของขั้วอำนาจอนุรักษ์นิยมที่ดาหน้าร่วมด้วยช่วยตีขนาบ อารมณ์แบบที่ตัวจี๊ด “ส.ว.ลากตั้ง” อย่างนายสมชาย แสวงการ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ฯลฯ ช่วยกันรัวเกราะเคาะไม้ทุบโต๊ะ ฟันธง “พิธา” ไม่รอดแน่เกมแห่ “พิธา” ขึ้นเขียงเชือด แปรรูปขบวนเด่นชัดในยุทธศาสตร์เป้าหมายของฝ่ายสกัดกองทัพก้าวไกลและนั่นก็ทำให้ว่าที่ผู้นำหนุ่มในจินตนาการ ต้องขยับหนีเป้าสังหาร ด้วยการโอนหุ้นไอทีวีให้กับทายาทอื่น ด้วยเหตุผลเผื่อสถานการณ์ล่วงหน้า หลีกเลี่ยงปัญหาไอทีวีชนะคดีฟ้องร้องกลับมาคงสถานะเป็นสื่อที่แน่ๆ นายพิธายังยืนยัน สถานะตัวเองเป็นเพียงผู้จัดการมรดกเท่านั้นแต่มันยิ่งทำให้ทีมล่าสังหาร ขบวนการเจาะยางได้ทีไล่บี้ขยี้ซ้ำ ตอกย้ำหัวหน้าพรรคก้าวไกลร้อนตัว รีบผ่องถ่ายหุ้นไอทีวีเบี่ยงข้อกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ทัน เพราะความผิดมันสำเร็จไปแล้วแนวโน้มแบบที่ กกต.ตั้งแท่นรับเรื่องเข้ากระบวนการเช็กบิลในทันทีทันควัน จังหวะที่กองทัพมวลชน กลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย นำโดยนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นัดรวมพลบุก กกต. จี้กดดันให้รับรองผล ส.ส.ภายในวันที่ 20 มิถุนายนนี้เพื่อเปิดรัฐสภา โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและให้ กกต.ตีตกคำร้องปมถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา เนื่องจากเป็นการร้องเรียนของขบวนการที่มีเจตนาโค่นล้มประชาธิปไตยแนวรบม็อบขยับปกป้อง “ผู้นำรัฐบาลแห่งความฝัน”ตามสถานการณ์ที่ทีมคุ้มกัน “พิธา” ดาหน้าออกมาเปิดเกมรบโต้กลับทีมล่าสังหารของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอารมณ์แบบที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะอดีต กกต.เตือนนายพิธาอย่าได้ประมาทปมหุ้นไอทีวี เป็นนัยประจานเกมอำนาจเก่าอย่าได้ประมาทเครื่องจักรอำนาจเดิมกำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ไฮไลต์มันอยู่ที่คิวของแม่ทัพจอมบุกอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ที่ร่อนสารประจานเกมโค่นกระดาน “พิธา”คือ “นิติสงคราม” ที่ใช้กฎหมายและสื่อจัดการฝั่งตรงข้ามไล่ย้อนสถานการณ์การเมืองตั้งแต่ปี 2548 ทอดยาวมาถึงปัจจุบัน เกมอำนาจได้แปรเปลี่ยนจาก “ตุลาการภิวัตน์” ให้เป็น “นิติสงคราม” เต็มรูปแบบแล้วแทนที่จะใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ก็เปลี่ยนมาใช้ “กฎหมาย” เข้าทำสงครามแทนผ่าน 2 กลไกสำคัญ นั่นคือ กลไกแรก กระบวนการทำให้ประเด็นทางการเมืองเป็นคดีและอยู่ในศาล กลไกที่สอง กระบวนการนำเรื่องการเมืองที่อยู่ในมือศาลแล้ว เอาไปไว้ในมือสื่อตามกระบวนการ “นักร้อง” เริ่มต้นร้อง มีสื่อทำหน้าที่ปั่นข่าวทุกวัน เชิญนักกฎหมาย ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกันชี้นำว่า ผิด ผิด ผิด จนประชาชนเชื่อไปแล้วว่าผิด หรือแม้ประชาชนคิดว่าไม่ผิด แต่ประชาชนก็ยอมรับว่า มันก็เป็นแบบนี้ พวกเขาถืออำนาจ กลไกรัฐอยู่ จะเล่นงานอย่างไรก็ได้ณ เวลานี้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกล กำลังเผชิญ “นิติสงคราม”จึงต้องร่วมกันหยุด “นิติสงคราม” ไม่ให้หนังม้วนเก่าที่ฉายซ้ำหลายรอบ วนเวียนตั้งแต่ปี 2548 กลับมาหลอกหลอนสังคมไทยอีกต่อไปตัวพ่อมาเอง “ปิยบุตร” เร้าไฟมวลชนเปิดเกมรบบี้กลับ “นิติสงคราม”ตามรูปการณ์ที่มโนล่วงหน้าได้ ไฟต์บังคับ เมื่อกองทัพสีส้ม พรรคก้าวไกลที่ได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนในเกมเลือกตั้ง อ้างความชอบธรรมในกติกาประชาธิปไตย ในการยื้อยุดฉุดกระชากอำนาจบริหาร กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่สบช่อง ได้เหลี่ยมกฎหมายเดินเกมล้มขุนตามรัฐธรรมนูญหนีไม่พ้นความปั่นป่วนวุ่นวายที่ต้องลากเกมในสภาไปบี้กันบนถนน“เดจาวู” ไม่ใช่แค่ความรู้สึก สำนึกอาถรรพณ์ แต่มันคือฉากบู๊ล้างผลาญการเมืองแบบไทยๆ ที่วนซ้ำไปซ้ำมา ก็ไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นยังแดงต่อเนื่อง ไม่กระเตื้องขึ้นเลยการเลือกตั้งแทนที่จะกระตุ้นความคึกคัก กลายเป็นฉุดความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติเทขายบอนด์ ทิ้งหุ้นไทยหนีความวุ่นวายทางการเมืองผวา “ม็อบเอไอ ยุค 5 จี” ตรึงแนวรบปะทะ “เครื่องจักรอำนาจโบราณ”“ทีมการเมือง”