ที่ “อังกฤษ” ตอนนี้มีผู้ป่วยโควิดเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่าช่วงพีกของ “BA.1” ตอนเดือนมกราคมที่ผ่านมาละครับ ดูข้อมูลนี้แล้วเริ่มมีคำถามว่าตกลงคนที่ติด BA.1 มาแล้ว ติด BA.2 ได้ยากจริงๆหรือครับ?ข้อมูลที่ออกมาจากเดนมาร์กบอกว่าติดได้แต่โอกาสเกิดได้น้อย (rare) แต่ข้อเท็จจริงที่อังกฤษ ตอนนี้น่าค้นหาคำตอบมากครับ...เดือนมีนาคม มีเปอร์เซ็นต์วัคซีนกระตุ้นต่างจากช่วง BA.1 โจมตีมากนัก ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ต้องหาคำอธิบาย“โอมิครอนขึ้นเร็วลงเร็วภายใน 2-3 เดือนครับ แต่เหมือนยังสรุปไม่จบประโยค เพราะลงเร็วได้ก็ขึ้นเร็วได้อีก เหมือนโรคประจำถิ่นของมนุษย์กับการแพร่กระจายของไวรัสกำลังหาจุดสมดุล” ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. โพสต์แสดงความคิดเห็นไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่อเนื่องเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา“เกาหลีใต้” กับ “ญี่ปุ่น” อยู่ในช่วงการระบาดของโอมิครอนทั้งคู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ความแตกต่างที่เห็นตอนนี้คือ จำนวนผู้เสียชีวิตในเกาหลีใต้พุ่งทะยานขึ้นสูง แต่ในญี่ปุ่นขึ้นไม่นานและอยู่ในช่วงขาลงสิ่งที่น่าแปลกคือ เกาหลีใต้มีการระดมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชากรของตัวเองสูงก่อน และปัจจุบันมีคนได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่าญี่ปุ่นถึงเกือบ 2 เท่า“เราใช้ตัวอย่างจากต่างประเทศเพื่ออนุมานการระบาดในไทย กลุ่มมองโลกในแง่ดีคือเราจะเป็นแบบญี่ปุ่น ส่วนอีกกลุ่มมองโลกด้วยความกังวลก็จะเป็นแบบเกาหลีใต้ประเทศไทยจะไปทางไหนเรามีตัวอย่างให้วิเคราะห์กันอีกเยอะครับ...ในขณะที่ทุกคนอยากเป็นเหมือนญี่ปุ่น แต่ถ้าเราไปแบบเกาหลีใต้จะแก้ไขอย่างไรดี ในบริบทของไทย” คำถามหนึ่งที่ “นักไวรัสวิทยา” ที่กำลังติดตามการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติของไวรัสโรคโควิด-19 ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้คือ อะไรเป็นสาเหตุให้ไวรัสอย่าง “BA.2” ถึงแพร่กระจายได้ไวกว่าสายพันธุ์อื่นโดยเฉพาะโอมิครอนตัวที่ครองพื้นที่ได้ก่อนอย่าง “BA.1” หรือ “BA.1.1”และที่สำคัญ...คุณสมบัติการแพร่กระจายแตกต่างกันชัดมาก สังเกตได้จากสถานการณ์ตอนนี้ที่การตรวจ ATK เป็นบวกพบได้กับคนรอบตัวเป็นรายวันเลยจากสมมติฐานเดิมที่เคยตั้งไว้คือ ไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณหนามสไปก์ทำให้จับโปรตีนตัวรับแน่นขึ้น หรือหนีภูมิได้ดีขึ้น แต่ข้อมูลวันนี้ ผมยังไม่เห็นออกมาแสดงว่าความแตกต่างดังกล่าวระหว่าง BA.1 และ BA.2 จะเอามาอธิบายได้พูดง่ายๆคือ ไวรัสทั้งสองสายพันธุ์จับโปรตีนตัวรับได้ดีพอๆกัน และหนีภูมิได้พอๆกัน แล้วอะไรทำให้ BA.2 วิ่งไวกว่า BA.1 ขนาดนี้?“ความเป็นไปได้คือ การกลายพันธุ์นอกโปรตีนหนามสไปก์ครับ” วันนี้เริ่มชัดขึ้นจากการค้นพบสายพันธุ์ย่อยของ BA.2 ที่เริ่มเพิ่มการแพร่กระจายเป็นวงกว้างในสกอตแลนด์ เรียกสายพันธุ์นี้ว่า “BA.2.8” โดยข้อมูลที่เทียบการแพร่กระจายกับ BA.2 เดิม BA.2.8 ดูเหมือนจะวิ่งไวกว่า BA.2 ปกติประมาณ 34% และไวกว่า BA.1.1 ถึง 110%“BA.2.8” มีหนามสไปก์เหมือนกับ “BA.2” ความแตกต่างอยู่ที่การกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่งบนโปรตีนตัวเล็กๆที่ชื่อว่า ORF3a คือตำแหน่งที่ 9 (T9K) และ 31 (A31T)จากประสบการณ์ส่วนตัว ดร.อนันต์มองว่าการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้น่ากังวลสาเหตุคือ...เราไม่รู้จัก ORF3a ว่าหน้าที่ของโปรตีนนี้ทำอะไรกันแน่การศึกษาโปรตีนที่เราไม่รู้จักหน้าที่ชัดเจนจะยากมาก เพราะจะเดาทางไวรัสไม่ออก ถ้า BA.2.8 แพร่กระจายได้ไวอย่างที่สกอตแลนด์จริงในทุกที่ที่ไวรัสระบาด ไวรัสตัวนี้จะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น และคงมีอะไรใหม่ๆมาอีกแน่ เพราะวัคซีนเราทำอะไรต่อการเปลี่ยนแปลง หรือ ชะลอการเปลี่ยนแปลงของ ORF3a ไม่ได้เลย...หวังว่า BA.2.8 จะเป็นไวรัสที่โดนคุมได้ ไม่แพร่ออกมาไวนะครับอีกประเด็นความรู้คืบหน้าที่น่าสนใจใคร่รู้ จากเอกสารของ UK Health Security Agency ได้มีการตั้งชื่อไวรัสลูกผสมระหว่าง “เดลตา-โอมิครอน” อย่างเป็นทางการออกมา แทนที่จะใช้ชื่อที่ไม่ค่อยมีประโยชน์อย่าง “Deltacron” ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ในเอกสารดังกล่าวได้พูดถึงไวรัสลูกผสมดังกล่าวอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.XD 2.XE และ 3.XFโดย “X” มาจาก “Cross” หรือ “การผสมข้ามสายพันธุ์”แต่ละรูปแบบเป็นอย่างไรให้ดูที่สีที่กำกับ โดยสีเขียวคือสารพันธุกรรม ของสายพันธุ์เดลตา สีม่วงเข้มคือสารพันธุกรรมของ BA.1 และสีม่วงอ่อนคือสารพันธุกรรมของ BA.2“XD” คือ ไวรัสลูกผสมที่เกิดจากเดลตาและ BA.1 โดยไวรัสรูปแบบนี้นำยีนส่วนหนามสไปก์ของ BA.1 มาอยู่ในแกนของเดลตา อนุภาคไวรัสชนิดนี้จึงใช้โปรตีนหนามของโอมิครอน BA.1 ในการเข้าสู่เซลล์ แต่ใช้องค์ประกอบอื่นๆของเดลตาในการเพิ่มจำนวนไวรัสในเซลล์เจ้าบ้านไวรัสรูปแบบ XD ปัจจุบันพบแพร่กระจายอยู่ในหลายประเทศนอกอังกฤษ เช่น ฝรั่งเศส เดนมาร์ก และเบลเยียม “XE” คือ ไวรัสลูกผสมระหว่างโอมิครอน BA.1 และ BA.2 ด้วยกันเอง โดยส่วนหน้าเป็น BA.1 และส่วนด้านท้ายจะมาจาก BA.2 เนื่องจากโปรตีนที่อยู่บนและในผิวอนุภาคไวรัสจะสร้างมาจากส่วนด้านท้ายของสารพันธุกรรมดังนั้น ถ้าดูลักษณะของอนุภาคของ XE จะไม่แตกต่างจาก BA.2 เลย เพียงแต่ว่ากลไกในการก่อเกิดโรค หรือการเพิ่มจำนวนไวรัสที่ต้องอาศัยยีนในส่วนด้านหน้าอาจจะแตกต่าง เพราะโปรตีนนั้นมาจาก BA.1 ซึ่งก็ไม่แตกต่างจาก BA.2 สักเท่าไหร่โดยสรุป ไวรัสรูปแบบนี้ไม่น่ามีอะไรกังวลมากไปกว่า BA.2 ปกติสุดท้าย “XF” คือไวรัสลูกผสมระหว่างเดลตากับ BA.1 โดยโปรตีนโครงสร้างทั้งหมดมาจาก BA.1 และโปรตีนบางชนิดที่ถอดรหัสจากส่วนของเดลตา อนุภาคไวรัสไม่แตกต่างจาก BA.1 โดยทั่วไป แต่คุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่าง เนื่องมาจากยีนส่วนที่ได้รับจากเดลตามาอาจไม่เหมือนกับ BA.1 ข้อสังเกตคือ Delta-BA.2 จะไม่มีการรายงาน เป็นเพราะช่วงที่ BA.2 ระบาดจะมีไวรัส “เดลตา (Delta)” อยู่น้อยมากแล้ว การเกิดไวรัสลูกผสมจึงยากที่จะเกิดขึ้นดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. ฝากทิ้งท้ายว่า ในบรรดาสามรูปแบบข้างต้น ส่วนตัวคิดว่า XD มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะเกิดไวรัสที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากเดิมที่มีอยู่ ซึ่งต้องคอยติดตามไปอย่างใกล้ชิดครับ.