กลบข่าวการเมืองเบาลงไปเยอะปรากฏการณ์ “ผีน้อย” ตะลอนทั่วไทยในทุกภูมิภาค นั่งกินหมูกระทะ เที่ยวผับ เดินช็อปปิ้งเที่ยวห้างสบายใจเฉิบ ภายหลังเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ไม่สนใจคำสั่งรัฐบาลที่ให้กักตัวอยู่ในที่พัก 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการเหล่า “ผีน้อย” แห่อวดการใช้ชีวิตผ่านโลกโซเชียล ไม่สนใจความรับผิดชอบต่อสังคมประกาศิต “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หมดความศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถบังคับใช้กับพวกไร้จิตสำนึกได้ไวรัสมรณะ “โควิด-19” ไล่เขย่าขวัญคนไทยแตกตื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในภาวะที่หน้ากากอนามัยขาดตลาดอย่างหนัก คนไทยต้องเลือกระหว่างจะถ่อสังขารไปรับบัตรคิวต่อแถวยาวเหยียดซื้อหน้ากากอนามัยตามจุดต่างๆที่รัฐบาลวางขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงหรือจะยอมถูกพ่อค้าแม่ค้าหน้าเลือดฟันกำไร ขายกันแพงเว่อร์กล่องละเกือบ 1 พันบาทชีวิตคนไทยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ใครไม่มีกำลังซื้อก็เสี่ยงตายได้ทุกเมื่อสะท้อนความหมดสภาพของกระทรวงพาณิชย์ที่ไม่สามารถบริหารจัดการควบคุมราคาหน้ากากอนามัยได้ ปล่อยให้คนไทยกระเสือกกระสนเอาตัวรอดตามยถากรรม แม้กระทั่งแพทย์-พยาบาลก็ยังมีไม่พอใช้ไวรัสมรณะโควิด-19 ทำท่าสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล ถ้าคุมสถานการณ์กันไม่อยู่ดูแล้วน่าเป็นห่วงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเกมรบนอกสภาที่ถูกจุดติดอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา หลังได้สารตั้งต้นจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ปลุกพลังกลุ่มนักศึกษาลามไปถึงนักเรียนมัธยมโชว์ “แฟลชม็อบ” เคลื่อนไหวทั่วประเทศโลกโซเชียลเกลื่อนไปด้วยแฮชแท็กขับไล่บิ๊กตู่ เสียดสีองค์กรอิสระ เรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทวง “ประชาธิปไตย” แทน “ประชาธิปตาย”ขบวนการนักศึกษาโชว์พลังคับคั่ง แฟลชม็อบทำท่าไม่จบง่ายๆยังดีที่เชื้อร้ายโควิด–19 พีกขึ้นมา คั่นเวลาให้แฟลชม็อบเพลากระแสลงไป แต่ก็รอปะทุได้ทุกเมื่อ หากถึงช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมและยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปรับ ครม.ที่กร่อยลงไปทันตาเห็น ไม่เข้มข้นเหมือนตอนเสร็จศึกซักฟอกใหม่ๆที่เล่นกันแรงถึงขั้นปล่อยข่าวรัฐมนตรีบิ๊กเนมแห่ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งไฟต์บังคับการยกเครื่องทีมงานใหม่ ถูกสะกดแรงกระเพื่อมไว้ชั่วคราว หลีกทางให้รัฐบาลทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการหยุดการลุกลามของเชื้อโควิด-19เปิดทางให้ “ลุงตู่” โชว์ออฟเต็มที่ ตามแพ็กเกจชุดใหญ่ที่ทีม ครม.เศรษฐกิจรอดันเข้า ครม.ชุดใหญ่เร็วๆนี้โดยเตรียมทุ่มงบประมาณ 1 แสนล้านบาท เฟสแรก แจกเงินผู้มีรายได้น้อยหัวละ 2,000 บาท บรรเทาปัญหาปากท้องเป็นการเร่งด่วนกันก่อนตามสถานการณ์ที่หลายธุรกิจได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ มีคนตกงานจำนวนมาก ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อเปรียบเสมือนผู้ป่วยตกอยู่ในอาการโคม่า หากจะให้น้ำเกลือรักษาก็คงไม่ทันการณ์ เป็นความจำเป็นเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องแจกเงินสดและไม่ใช่แค่เฉพาะประเทศไทยแห่งเดียว แต่หลายประเทศที่ประสบปัญหาไวรัสโควิด-19 ก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการแจกเงินเช่นกัน อาทิ ฮ่องกงแจกเงินประชาชน 7 ล้านคน รายละ 40,000 บาท สิงคโปร์แจกเงินประชาชนอายุ 21 ปีขึ้นไปคนละ 3,000-7,000 บาทไม่ได้เทกระจาดเรี่ยราด แต่มีเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการ โดยการแจกเงินช่วยเหลือก็เป็นไปตามมาตรฐานค่าครองชีพแต่ละประเทศ และอาจมีแจกลอตต่อไป เพราะไม่รู้สถานการณ์จะคลี่คลายได้เมื่อไรในภาวะที่ “ลุงตู่” กำลังหัวหมุน แก้ปัญหามือเป็นระวิง ลงมาคุมวอร์รูมควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเองขณะที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยตรงทั้ง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ก็ต้องเร่งพิสูจน์ฝีมือการทำงาน เพราะที่ผ่านมายังหละหลวมในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและการควบคุมราคาหน้ากากอนามัยหากการแก้ปัญหายังเป๋ไปเป๋มา ย่อมตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกปรับ ครม. แม้ “ลุงตู่” บอกการปรับ ครม.จะไม่แตะต้องพรรคร่วมรัฐบาล เพราะไม่ต้องการให้เกิดแรงกระเพื่อมแต่เหนือกว่าเสียงในสภาคือเสียงของประชาชน ถ้ากระแสสังคมยี้ผลงานไม่เอาด้วยก็จะเป็นแรงกดดันให้ต้องพิจารณาเปลี่ยนตัวรมต.บางคนสังคมยังคาใจในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ขืนยังมาอุ้มพวกที่สอบตกในการแก้ปัญหาโควิด-19 ก็ยิ่งลดระดับความชอบธรรมของรัฐบาลในการบริหารประเทศยิ่งเป็นการเพิ่มหัวเชื้อเร่งปฏิกิริยาให้ม็อบลงถนนเร็วและรุนแรงมากขึ้นถ้าถึงเวลานั้น “ลุงตู่” อาจจะไปต่อลำบาก!!!ทีมข่าวการเมือง