หลังจากการพบหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กรุงวอชิงตัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้แจ้งต่อผู้นำสหรัฐอเมริกาว่า ในการเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากล รัฐบาลไทยจะประกาศวันเลือกตั้งในปี 2561 โดยที่นายทรัมป์ไม่ได้ถาม และกล่าวย้ำอีกครั้งว่า จะไม่มีการเลื่อนเวลาใดๆทั้งสิ้นจากการพบเจรจาระหว่างผู้นำสองประเทศครั้งนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า นโยบายการต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยตั้งตัวเป็นผู้นำโลกเสรี และบีบบังคับประเทศทั่วโลกให้เคารพสิทธิมนุษยชนและเป็นประชาธิปไตยมาเป็น “อเมริกาต้องมาก่อน” โดยยึดผลประโยชน์สหรัฐฯด้านเศรษฐกิจและการค้าเป็นสำคัญผู้นำโลกประชาธิปไตยของโลก ไม่ได้เอ่ยถึงรัฐประหาร หรือการเลือกตั้งในประเทศไทยเหมือนกับรัฐบาลอเมริกันที่ผ่านๆมา ทำให้นายกรัฐมนตรีปลาบปลื้มดีใจ และเอ่ยวาจาว่าได้พบเพื่อนอีกคนที่จริงใจ และคงจะทำให้รัฐบาล คสช.โล่งอก เพราะเป็นที่ยอมรับของผู้นำโลกประชาธิปไตย หลังจากที่เคยบ่นว่าหลายประเทศไม่ยอมรับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้นำ คสช.ให้สัญญาต่อประชาคมโลก อย่างที่เคยสัญญาต่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว เมื่อปี 2558 ว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2559 และอีกครั้งหนึ่งที่สัญญาต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2560 แต่ก็ยังไม่เป็นไปตามสัญญาจนถึงปัจจุบัน แต่หวังว่าสัญญาต่อหน้าผู้นำสหรัฐฯจะเป็นสัญญาที่ต้องรักษาแต่น่าสงสัยและน่าหนักใจ เมื่อฟังคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ว่านายกฯไม่ได้บอกว่าจะเลือกปีหน้า แต่จะประกาศวันเลือกตั้งปีหน้า หลังกฎหมายลูกเสร็จให้นับไปอีก 150 วัน แสดงว่า “กฎหมายลูก” กลายเป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญ และยึดตัวบุคคลที่จัดทำกฎหมายลูกเป็นใหญ่ แทนที่จะยึดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดกฎหมายลูกออกทันแน่นอน ถ้าทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่น จริงจังและจริงใจที่จะผลักดัน ตัวอย่างรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมาจากรัฐประหารเช่นเดียวกัน สามารถจัดเลือกตั้งใน 122 วัน หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ส่วนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้มากว่า 180 วันแล้ว และยังมีเวลาเหลืออีกกว่าหนึ่งปี จึงจะสิ้นปี 2561 ทำไมจึงจะเสร็จไม่ทันระบอบประชาธิปไตยถือว่ากฎหมายใหญ่ ไม่ใช่คนใหญ่กว่ากฎหมาย รัฐธรรมนูญระบุว่า จะต้องจัดทำกฎหมายลูกให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด หากจัดทำไม่เสร็จตามกำหนด องค์กรต่างๆที่ร่วมกันจัดทำจะต้องรับผิดชอบ มิฉะนั้น อาจโดนกล่าวหาจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ.