ไทยโชว์หลักฐานกลางที่ประชุมออตตาวา แฉเล่ห์กัมพูชายังใช้ “ทุ่นระเบิดสังหาร” ลอบกัดจนทหารไทยต้องเสียขาถึง 7 นาย เรียกร้องเลขาฯยูเอ็นตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระโดยทันที ป้องกันถูกนำมาใช้เป็นประเด็นทางการเมือง ด้านเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ย้ำหากกัมพูชาสุจริตใจควรยอมรับข้อเสนอ แต่ตัวแทนกัมพูชาแถกลับ ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางทุ่นระเบิดใหม่ อ้างหลักฐานที่ไทยยื่นไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ ขาดความเป็นกลาง พร้อมกล่าวหาไทยทำให้ข้อตกลงสันติภาพที่ทำต่อหน้าผู้นำสหรัฐฯและมาเลเซียเกิดความล่าช้า ขณะที่โฆษก ทบ.จี้นานาชาติจับตา “เฮง รัตนา” ผอ. CMAC กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บ่อนทำลายความไว้วางใจและสันติภาพในภูมิภาคไทยเดินหน้าในเวทีนานาชาติ ในการจัดการปัญหากัมพูชารุกล้ำแดนเข้ามาลอบวางทุ่นระเบิด โดยเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอ ตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ในการประชุม รัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นายสีหศักดิ์กล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำว่า ไทยมุ่งมั่นปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ มาตลอดและมีความจริงใจที่จะแก้ไขสถานการณ์ชายแดนโดยไม่ประสงค์ให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง แต่การที่ทหารไทยได้รับความสูญเสียและทุพพลภาพอย่างถาวรจากการใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดข้อ 1 ของอนุสัญญาฯอย่างชัดเจน ไทยไม่มีทางเลือกและต้องสงวนสิทธิดำเนินการตามกลไกข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ เพื่อขอคำชี้แจงจากกัมพูชา แต่คำชี้แจงของกัมพูชากลับขัดแย้งกับหลักฐานที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและมีการบิดเบือนข้อมูลต่อเนื่อง และหากรัฐภาคีสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่แล้วปฏิเสธโดยไม่ต้องรับผลการกระทำใดๆ จะเกิดอะไรขึ้นหากมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งต่อไปนายสีหศักดิ์กล่าวด้วยว่า การดำเนินการต่อไป ที่เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสที่สุดคือ การขอ ให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระโดยทันที ด้วยวัตถุประสงค์ของไทยคือ เพื่อไม่ให้ประเด็นนี้ถูกนำมาใช้เป็นประเด็นทางการเมือง การ พึ่งพา กลไกของอนุสัญญาฯ ซึ่งจะเป็นการปกป้องความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาฯ และแสดงให้เห็นว่ากลไกดังกล่าวสามารถนำมาใช้ได้จริงในยามที่จำเป็นที่สุดด้วยขณะที่ฝ่ายกัมพูชา นำโดยนาย ลี ธุช รองนายก รัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ขององค์การกำจัด ทุ่นระเบิดกัมพูชา กล่าวว่า ข้อกล่าวหาของไทยไม่ได้ มีการพิสูจน์ และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กัมพูชาก็ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการทางทหาร และเจอข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน และไม่มีการสอบสวนโดยคณะกรรมการอิสระ พร้อมกล่าวด้วยว่า เป็นเรื่อง น่าผิดหวังที่ไทยพยายามก้าวข้ามข้อ 8 วรรค 1 ที่ให้ รัฐภาคีหาทางออกจากปัญหาที่เกิดขึ้นไปสู่ข้อที่ 8 วรรค 2 แต่การก้าวข้ามการดำเนินการดังกล่าวสะท้อน ให้เห็นว่า ไทยไม่มีความจริงใจ แต่เป็นการเผชิญหน้าซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติวิธี พร้อมกล่าวว่ากัมพูชาขอแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บ แต่ความเสียใจไม่สามารถทดแทนความจริงได้ กัมพูชา จะยืนหยัดปกป้องความน่าเชื่อถือของตนเอง และเรียกร้องให้มีกลไกการตรวจสอบอย่างครอบคลุมที่ยึดหลักฐานเป็นตัวตั้งจากนั้น น.ส.อุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้ใช้สิทธิตอบโต้ครั้งแรก เพื่อแย้งคำกล่าวหาที่ปราศจากการพิสูจน์ข้อมูลของกัมพูชาที่บอกว่า ไทยดำเนินการฝ่ายเดียวและทำให้กรณีการสูญเสียขาของ ทหารไทยทั้ง 7 นาย เป็นประเด็นทางการเมือง ได้แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ของการละเมิดพันธกรณีอนุสัญญาฯของกัมพูชา และแสดงคลิปวิดีโอที่ทหารกัมพูชากำลังฝึกวางทุ่นระเบิด PMN-2 รวมถึงเอกสาร คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ของฝ่ายไทยที่ระบุว่า เป็นทุ่นระเบิดใหม่ ต่อที่ประชุมรัฐภาคีฯ ไทยได้ส่งหลักฐานเหล่านี้ทั้งหมดให้กับเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว พร้อมทั้งระบุว่า การจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบความจริงตามที่ไทยเสนอนั้น จะช่วยยืนยัน ข้อเท็จจริงและเสริมสร้างความโปร่งใสของทุกฝ่าย หากกัมพูชามีความสุจริตใจที่จะแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ควรยอมรับข้อเสนอดังกล่าวด้านนายลี ปันหริธ เลขาธิการหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือเหยื่อแห่งกัมพูชา ใช้สิทธิตอบโต้ไทยรอบแรกว่า กัมพูชาพร้อมเข้าร่วม การสอบสวนและพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม กัมพูชาเสียใจที่ไทยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา โดยนำเสนอเอกสารและสิ่งที่ระบุว่าเป็นหลักฐาน โดยไม่ได้หารือปรึกษากันก่อน ซึ่งบ่อนทำลายจิตวิญญาณของความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาแทนที่จะมีการทำงานร่วมกับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน และการสอบสวนของไทยทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยไม่มี ผู้เชี่ยวชาญและคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้อง ห่างไกลจากมาตรฐานที่บอกว่าเป็นอิสระ กัมพูชาจึงขอเรียกร้องให้มีการตั้งทีมสอบสวนทันที เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้งกัมพูชาและไทย และจาก AOT 2 ประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการ สอบสวนระหว่างประเทศต่อจากนั้น น.ส.อุศณา ได้ใช้สิทธิตอบโต้ครั้งที่ 2 กล่าวว่า ประเด็นที่คณะผู้แทนกัมพูชาหยิบยกขึ้นมา คือเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศไทยเสนอให้มีการใช้อำนาจของเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระ หากกัมพูชาดำเนินการด้วยความสุจริตใจและมีความโปร่งใสพอ ควรเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทย ซึ่งมีจุดประสงค์หนึ่งเดียวเท่านั้น คือการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้นน.ส.อุศณากล่าวด้วยว่า องค์กรรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด (ICBL) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทยเข้าตรวจเยี่ยมพื้นที่เกิดเหตุ มีทูตทหารของมาเลเซียดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะและมีผู้แทนจากสิงคโปร์และบรูไนเข้าร่วมด้วย คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนได้ดำเนินการกระบวนการพิสูจน์และได้สรุปในรายงานว่า “ทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บนั้น เป็นทุ่นระเบิดที่เพิ่งวางใหม่ทั้งหมด”ส่วนนายดารา อิน เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ใช้สิทธิตอบโต้ครั้งที่ 2 ว่า กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า ได้วางทุ่นระเบิดใหม่พร้อมโต้แย้งว่า หลักฐานที่ไทยยื่นมาไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ การตรวจสอบเชิงประจักษ์ หรือการตรวจสอบอิสระ ขาดความเป็นกลาง และการกล่าวหาของไทยบั่นทอนเจตนารมณ์ของความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ และมีเจตนาทำให้ข้อตกลงสันติภาพที่มีการลงนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค. โดยสหรัฐฯและมาเลเซีย เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ให้เกิดความล่าช้าวันเดียวกัน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงตอบโต้นายเฮง รัตนา ผอ.CMAC กัมพูชา ที่กล่าวหาไทยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของนานาชาติจากการรุกรานและยึดครองดินแดนกัมพูชา กล่าวโทษว่าฝ่ายกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ จนทำให้ทหารไทยเสียชีวิตว่า นายเฮง รัตนา ยังคงใช้จินตนาการปั้นแต่งเรื่องหลอกลวงสังคมโลก เบี่ยงเบนประเด็นที่แท้จริง และปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องการลักลอบติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ในเขตประเทศไทย โดยฝ่ายกัมพูชา เป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารไทยได้รับความสูญเสียในพื้นที่ชายแดน ถ้อยคำที่นายเฮง รัตนา ใช้มาตลอดไม่สะท้อนความเป็นสุภาพบุรุษทางการทูต ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทั้งที่ข้อเท็จจริงตรงกันข้ามอย่างชัดเจนโฆษกกองทัพบกระบุด้วยว่า พฤติกรรมดังกล่าวกำลังทำลายบรรยากาศแห่งความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีของทั้งสองประเทศ และเป็นการจงใจสร้างความขัดแย้ง และความเกลียดชังให้รุนแรงยิ่งขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของภูมิภาคโดยรวม ฝ่ายไทยมีจุดยืนที่ชัดเจน ยืนยันการให้ข้อมูลและหลักฐานที่ถูกต้อง ทั้งเชิงประจักษ์และเชิงเทคนิค สามารถเปิดให้บุคคลหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบได้อย่างเปิดเผย ขอเรียกร้องให้สังคมโลกตระหนักและร่วมต่อต้านการนำเสนอข้อมูลเท็จของนายเฮง รัตนา บ่อนทำลายความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือของกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อความพยายามสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในภูมิภาค สำหรับบรรยากาศตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่งอีสานใต้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อคืนวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 2 ทุ่ม พ่อค้าแม่ค้าที่ขายกับข้าวริมทาง ย่านตลาดการค้าชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และชาวบ้านในพื้นที่ต่างพบเห็นดวงไฟปริศนาที่กะพริบหลายสี ทั้งสีขาว แดง และเขียว ชาวบ้านคาดว่าน่าจะเป็นโดรนของทหารเขมร เนื่องจากตลาดชายแดนช่องจอมอยู่ห่างจากชายแดนเพียง 1 กม.เท่านั้น โดยพบไม่ต่ำกว่า 10 ลำ ลอยนิ่งนานนับชั่วโมง ก่อนที่บางจุดจะหายไป จากปกติแล้วชาวบ้านจะพบน้อยลง แต่เมื่อคืนที่ผ่านมากลับพบเป็นจำนวนมากอย่างผิดปกติดังกล่าวส่วนที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ชุดปฏิบัติงานสำรวจปักหมุดชั่วคราว ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว รายงานการปฏิบัติของชุดสำรวจฯ ประจำวันที่ 5 ธ.ค.ได้ความคืบหน้าในการกำหนดหมุดชั่วคราวระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 สามารถปักหมุดชั่วคราวได้แล้วจำนวน 60 หมุด จากทั้งหมด 277 หมุด คิดเป็นร้อยละ 21.66อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่