เมื่อวันจันทร์มีการเผยแพร่ ดัชนีหุ้น MSCI World Index ใน 10 เดือนแรกของปี 2025 ปรากฏว่า ให้ผลตอบแทนนักลงทุนสูงถึง 19% ขณะที่ ดัชนีหุ้น SET ของไทยให้ผลตอบแทนติดลบ 6% วันนี้เราไปชะเง้อดูตลาดหุ้นสหรัฐฯกันเสียหน่อยนะครับ ทำไมดัชนีหุ้น Dow Jones, S&P 500, Nasdaq จึงบวกขึ้นไปไม่หยุด จนแทบจะทำสถิติสูงสุดใหม่เกือบทุกสัปดาห์ จะมีพักฐานบ้างก็ไม่กี่วัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯวันนี้ถูกครอบงำโดย “หุ้น 7 นางฟ้า” ที่มีอำนาจเหนือตลาด วันไหนราคาหุ้น 7 นางฟ้าขยับขึ้น แม้หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดจะมีราคาลดลง แต่ดัชนีราคาหุ้นสหรัฐฯก็เพิ่มขึ้น บิดเบือนภาพรวมของตลาดหุ้นที่แท้จริง เหมือน หุ้น Delta ของไทยมีอำนาจเหนือดัชนีหุ้น SET ถึง 15% ทำให้ดัชนีราคาหุ้นไม่สะท้อนราคาตลาดที่แท้จริงแต่ ผลตอบแทนของหุ้น 7 นางฟ้า ก็ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังเหมือน Delta ตั้งแต่ 1 ม.ค.-30 ก.ย. หุ้น 7 นางฟ้าให้ผลตอบแทนดังนี้ NVIDIA 38.9% Alphabet 28.4% Meta 25.4% Microsoft 22.9% Tesla 10.1% Apple 1.7% Amazon 0.1%นักวิเคราะห์จาก JPMorgan สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่สหรัฐฯได้ทำรายงานเปิดเผยว่า ช่วงปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2025 หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เพียง 30 บริษัท สร้างความมั่งคั่งให้กับชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 165 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา รายงาน JPMorgan ระบุว่า ณ เดือนกันยายน 2025 มูลค่าหุ้นของ 30 บริษัทนี้คิดเป็น 44% ของมูลค่าหุ้นรวมในดัชนี S&P 500 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้อยู่ในทุกชั้นของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี AI ตั้งแต่ ชิปประมวลผล เซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ ซอฟท์แวร์ ไปจนถึง แพลตฟอร์มข้อมูลเฉพาะ หุ้น 7 นางฟ้ากลุ่มเดียวก็ครองสัดส่วน Market Cap ไปแล้วกว่า 22 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ NVIDIA บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯและของโลก เพิ่งทลายขึ้นเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯเป็นตัวแรก ไม่กี่วันก่อนรายงาน JPMorgan ระบุอีกว่า ความร่ำรวยของนักลงทุนสหรัฐฯที่ได้จากหุ้นเอไอ 30 บริษัทนี้ ทำให้ชาวอเมริกันมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 180,000 ล้านดอลลาร์ 5.94 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา จาก Wealth Effect ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีหุ้น 7 นางฟ้าที่สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นมากที่สุด หุ้นกลุ่มไฮเทคที่ป๊อบปูลาร์มากที่สุดคือ เซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ รองมาเป็นซอฟท์แวร์ คลาวด์ และคอนซัลติงด้วยมูลค่าตลาดของหุ้นเอไอในเวลานี้ ต่อให้ราคาลดลงมา 10% ก็กระทบต่อความมั่งคั่งและการบริโภคของนักลงทุนไม่มากนัก ในขณะที่ มอร์แกน สแตนเลย์ คาดว่า การลงทุนของกลุ่มเอไอจะยังมีต่อเนื่องไปอีกหลายปีเลยทีเดียวมีนักวิเคราะห์จำนวนมากเป็นห่วง ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของบริษัทเอไอ อาจทำให้เกิด “ฟองสบู่ราคาหุ้นเอไอ”วันหนึ่งอาจระเบิดเป็นจุณ แต่ข้อมูลจาก CB Insight เปิดเผยว่า ปัจจุบันมี “AI startups” มากกว่า 1,300 รายในสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ราว 3.3 ล้านล้านบาท AI startup เหล่านี้เป็นสตาร์ตอัพที่อยู่ในกลุ่ม “AI unicorn” หรือบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ถึง 498 บริษัท ในขณะที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Meta, Microsoft ก็ยังมีการลงทุนอย่างหนักหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่เพื่อรองรับเอไอUBS คาดว่า การลงทุนด้าน AI ทั่วโลกในปี 2025 จะสูงถึง 375,000 ล้านดอลลาร์ และ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 500,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2026 ขณะที่สหรัฐฯกำลังผ่อนคลายนโยบายการเงินคุณจะเห็นการลงทุนอย่างมหาศาลของบริษัทบิ๊กเทคที่เรียกว่า Capex เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอนาคตเขียนมาถึงตอนนี้ชักเชื่อแล้วว่า อนาคตของหุ้น AI ยังไปได้อีกไกล เลยทีเดียว."ลม เปลี่ยนทิศ"คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม