เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม มีการประชุม มหาเถรสมาคม (มส.) นัดพิเศษครั้งที่ 1/2568 อย่างเร่งด่วน คุณอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงหลังการประชุมว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคมนิมนต์กรรมการฯประชุมอย่าง เร่งด่วน ที่ประชุมมีข้อห่วงใยและอภิปรายกันอย่างกว้างขวางและมีการลงมติว่า พระที่ถูกกล่าวหาต้องอาบัติปาราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปาราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลกำกับพฤติกรรมของพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัย ให้ดำเนินการสอบสวนและรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัยประเภท “ครุกาบัติ” (อาบัติหนักโทษร้ายแรง) ให้ออกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ และให้ เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาที่ประชุม มหาเถรสมาคม ยังเห็นควรขอประทานพระวินิจฉัย สมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้ง “คณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนา” คณะหนึ่ง โดยมีหน้าที่ ศึกษาและทบทวนกฎมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวข้องกับ “นิคหกรรม” (การลงโทษพระภิกษุผู้ทำผิดร้ายแรง) ทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการกระทำผิดพระธรรมวินัยประเภท “ครุกาบัติ” อำนาจตามกฎหมายของพระสังฆาธิการ พระวินยาธิการ และข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน แนวทางการสื่อสารกับสาธารณชน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพระภิกษุผู้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา รวมถึงแนวทางการบูรณาการภารกิจร่วมกับหน่วยงานภาครัฐให้เหมาะสมตามสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เทคโนโลยีสื่อสารเข้ามามีบทบาทในวงการสงฆ์อย่างมีนัยสำคัญ การปรับปรุงระเบียบวินัยสงฆ์ให้สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก จึงเหมาะสมถูกต้องแล้ว เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาเอาไว้ก่อนหน้านี้ คุณบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เปิดเผยว่า ผอ.สำนักงาน พศ.ได้หารือกับตัวแทนมหาเถรสมาคม (มส.) แล้วสรุปว่าจะมีการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เสนอร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมก่อนเสนอต่อรัฐสภาต่อไป สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นี้ จะมีบทลงโทษพระสงฆ์ที่ต้องอาบัติปาราชิก หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ให้จำคุกตั้งแต่ 1–7 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000–140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้สมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุหรือสามเณร ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย โทษจำคุกตั้งแต่ 1–7 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000–140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดทำให้พระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระธรรมวินัย ต้องมีมลทินมัวหมอง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1–7 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000–140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้นผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง จะได้ช่วยกันชำระพระพุทธศาสนาให้สะอาดจากมารร้าย เสียทีกฎพระ ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขให้เข้มงวด บวชแล้วต้องเรียนศึกษาพระธรรมเท่านั้น ไม่ใช่บวชเรียนแล้ว ไปอวดอุตริเก่งกาจในวิชาคุณไสย สักยันต์เต็มตัว เพื่อให้คนหลงเชื่อ ศรัทธาว่ามีวิชาอาคมเก่งกล้า ถือเป็นการทำลายพุทธศาสนาเช่นกัน เมื่อจะสังคายนาใหญ่ทั้งที ก็ควรสังคายนาทั้งพระและพุทธศาสนิกชนไปพร้อมกัน เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ที่น่าฉงนก็คือ พระที่ ถูกสีกาหลอกครั้งนี้ ล้วนเป็นพระที่มีพรรษามาก จบเปรียญธรรม 9 ประโยคก็มี ไม่รู้ “สติ” และ “ปัญญา” หายไปไหนหมด เมื่อเจอ “สีกาหลอกรัก” ก็หลงเลย."ลม เปลี่ยนทิศ"คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม