นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ที่ประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ครั้งที่ 1/2566 ได้เปิดเผยข้อมูลความก้าวหน้าการเตรียมรับมือสถานการณ์เอลนีโญ จากเดิมที่คาดว่าปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะน้อยกว่าค่าปกติร้อยละ 5 และมีโอกาสเกิดฝนทิ้งช่วงในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมแต่จากการติดตามผลพบว่า ความรุนแรงของปรากฏการณ์เอลนีโญอาจทำให้เกิดฝนทิ้งช่วงยาวนานไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นและหลายจังหวัดอาจประสบกับปัญหาภัยแล้ง กระทบต่อปริมาณน้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงน้ำเพื่อการเกษตรได้ “กรมส่งเสริมการเกษตร จึงขอเตือนให้เกษตรกรที่จะเพาะปลูกพืชในช่วงเข้าสู่ฤดูฝนนี้ วางแผนกักเก็บสำรองน้ำไว้ใช้ในเวลาที่ฝนทิ้งช่วง หรือเลือกปลูกพืชอายุสั้น หรือพืชผัก เช่น ผักบุ้ง ตำลึง กะหล่ำปลี คะน้า ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเพาะปลูกประมาณ 25-40 วัน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เพื่อป้องกันผลผลิตเสียหายกรณีขาดแคลนน้ำในช่วงดังกล่าว และสิ่งที่ควรคำนึงในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง เกษตรกรจำเป็นต้องให้น้ำแก่พืชผักอย่างเพียงพอ สม่ำเสมอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้พืชผักโดยเฉพาะพืชผักรับประทานผล จะได้รับความเสียหายหรือผลแตกเมื่อฝนตกลงมาอีกครั้ง” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรให้คำแนะนำวิธีการปลูกและดูแลรักษาพืชผักช่วงฤดูฝน การเตรียมเมล็ดพันธุ์ ควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่ติดมากับเมล็ด ยกแปลงให้สูงไม่ต่ำกว่า 30 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้รากพืชขาดอากาศเนื่องจากแช่น้ำนาน ในกรณีเกิดน้ำท่วม ให้เพิ่มปริมาณปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก เพื่อเพิ่มช่องว่างในดิน ใส่ปูนขาว 100-200 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อลดความเป็นกรดของดิน รดกล้าผักด้วยน้ำปูนใส สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หมั่นกำจัดวัชพืช และใช้วัสดุคลุมแปลง ป้องกันความเสียหายของผิวหน้าดินและระบบรากพืชที่เกิดจากเม็ดฝน “โดยเฉพาะผู้ที่ทำการเพาะปลูกนอกเขตชลประทาน ให้สร้างแหล่งกักเก็บสำรองน้ำในช่วงฝนทิ้งช่วง เตรียมพร้อมสำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตรในช่วงที่จะมีฝนตกชุกหนาแน่นช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์ไว้” นายเข้มแข็ง กล่าว.