ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา...ขณะที่ ชายแดนไทย-กัมพูชายังระส่ำ! “พะโด่ เกลอ เซ” รองโฆษกสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union—KNU) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ “กองทัพพม่า” โจมตีอย่างหนักหน่วงในพื้นที่เขตยึดครองของ KNU ตามแนวชายแดนไทยตรงข้ามกับจังหวัดตากแม้ “ทหารพม่า” ยังเข้าไปในพื้นที่เลเกก่อไม่ได้ แต่ได้มีการสู้รบในวงกว้างทั้งตามแนวชายแดนและลึกเข้าไปข้างในหากเราย้อนดูพื้นที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 เขตจังหวัด/กองพลของ KNU ทุกพื้นที่สู้รบอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สถานการณ์รุนแรงขึ้นเนื่องจากกองทัพพม่าต้องการจัดการเลือกตั้ง โดยพยายามจะให้ชาวบ้านออกมาลงคะแนนเลือกตั้ง รวมถึงขยายพื้นที่เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง จึงเกิดการสู้รบต่อเนื่องประเด็นสำคัญมีว่า...การสู้รบเกิดขึ้นเกือบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะ พื้นที่ตลอดแนวถนนกอกาเร็ก—เมียวดี“เป้าหมายคือเตรียมการเพื่อจัดการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันกองทัพพม่าก็พยายามที่จะยึดคืนพื้นที่ที่พวกเขาอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของที่กอกาเร็ก...ตอนนี้ชาวบ้านยังไม่กล้ากลับไปอยู่ แม้กองทัพพม่าและกองกำลังพันธมิตรมีความพยายามที่จะเชิญชวนให้ชาวบ้านกลับไป แต่ชาวบ้านยังไม่กล้าที่จะกลับไปทั้งหมด”พื้นที่แนวถนนกอกาเร็ก-เมียวดี กองทัพพม่ายังไม่สามารถรักษาความปลอดภัยได้ แม้กองกำลังกะเหรี่ยงไม่มีการเคลื่อนไหวตามแนวถนนนี้ แต่พื้นที่รอบข้างมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาคำถามสำคัญมีว่า...แนวโน้มสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้ง การสู้รบจะรุนแรงขึ้นใช่หรือไม่? พะโด่ เกลอ เซ บอกว่า ต้องมองภาพรวมทั้งประเทศ หากมองเพียงพื้นที่บริหารของ KNU เพียงอย่างเดียวคงไม่สมบูรณ์ แน่นอนว่าความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น“กลุ่มองค์กรชาติพันธุ์ติดอาวุธกลุ่มต่างๆ ไม่ไว้ใจกองทัพพม่า ปัจจุบันจึงยังไม่เห็นแนวทางที่จะนำไปสู่การเจรจากันได้ โดยส่วนตัวของผมจึงเห็นว่าการสู้รบ ความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้น แม้บางช่วงสถานการณ์จะไม่เป็นข่าวมาก แต่การสู้รบยังดำเนินอยู่และจะทวีความรุนแรงขึ้น” รองโฆษก KNU ว่าประเด็นสำคัญทาง “การเมือง” คือการแปรความชนะจากสนามรบให้เป็นความชอบธรรมทางการเมือง หากกองทัพสามารถคุมพื้นที่และจัดเลือกตั้งได้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างทางนานาชาติแต่ความเป็น “ประชาธิปไตย” เชิงเนื้อหาและสภาพแวดล้อมที่จะทำให้ “การเลือกตั้ง” เป็นไปด้วยความเสรีนั้นยังถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริง “จับตาชายแดนตะวันตก...ชายแดนด้านตะวันตก น่ากังวลใจมากกว่าด้านตะวันออกเสียอีก” ภาสกร จำลองราช “สำนักข่าวชายขอบ” เว็บไซต์ www.transbordernews.in.th เปิดประเด็น“กองทัพกัมพูชาเทียบไม่ได้กับกองทัพพม่า วันนี้กองทัพพม่าได้รับการสนับสนุนอาวุธจากจีน...รัสเซียทำให้เปิดเกมรุกหนักอาวุธที่ทหารพม่านำมาใช้กับ KNU เป็นเรื่องที่กองทัพไทยต้องพึงตระหนักให้ดี...”ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา...พล.อ.มินอ่องหล่ายไปเยือนรัสเซียประชุมเรื่องนิวเคลียร์ เขายกพื้นที่แถวทวายให้รัสเซียสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นต้นทุนที่กองทัพพม่านำมาใช้แลกเปลี่ยน เขากำลังสร้างดุลอำนาจใหม่...ขณะที่ชายแดนตะวันตกตอนบนโดยเฉพาะบริเวณตรงข้าม จ.ตาก จีนได้เข้ามาสร้างอิทธิพลโดยผ่าน BGF...กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกำลังปรับโฉมเป็นกองทัพกะเหรี่ยงแห่งชาติ KNA เป็นกองกำลังทหารรับจ้างขนาดใหญ่...ภายใต้ปีกพญามังกรเช่นเดียวกับทหารว้าถามว่า...แล้ว “รัฐไทย” หรือ “กองทัพไทย” อยู่ตรงไหนของสมการชายแดนตะวันตก เป็นเรื่องที่ “รัฐบาลไทยชุดใหม่” ต้องรีบหาคำตอบให้ได้ก่อน...จากประเทศที่ใครต่อใครเคยยำเกรง วันนี้ความเกรงใจถูกกัดกร่อนให้ “เล็กลีบ” ไปมาก สถานการณ์รอบบ้านกำลังท้าทายมากหากการเมืองยังยุ่งเหยิง...อ่อนแอ บางทีแม้แต่ “แผ่นดิน” ก็อาจรักษาดั่งเดิมไว้ไม่ได้?สะท้อนภาพช่วงหลังมานี้ “กองทัพพม่า” มีความเข้มแข็งมากขึ้น ยืนยันจากคำสัมภาษณ์ของ พะโด่ เกลอ เซ ที่บอกว่า กองทัพพม่ามีกำลังพลมากขึ้น โดยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้นจากการสนับสนุนของต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กำลังพลส่วนใหญ่ถูกบังคับเกณฑ์มาจึงขาดขวัญกำลังใจแตกต่างกับ...กองกำลังชาติพันธุ์ที่แม้มีคนน้อยกว่า แต่อุดมการณ์และประสบการณ์การรบสูงกว่าถึงแม้ว่าจุดยืนของกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ต้องย้อนกลับไปมองว่ากลุ่มกะเหรี่ยงเหล่านี้ได้แยกตัวจาก KNU ไปตั้งแต่ปี 1994—1995 โดยมีกองทัพพม่าอยู่เบื้องหลังและใช้ประโยชน์จากพวกเขา เมื่อกองทัพพม่าเริ่มควบคุมพวกเขาไม่ได้ ก็หาวิธีกดดันให้กองกำลังเหล่านั้นกลับมาอยู่ในอิทธิพลดังนั้น พวกเขาจึงต้องละทิ้งความร่วมมือและสิ่งที่ได้ตกลงพูดคุยกันไว้“บอกได้ว่า...กองทัพพม่ายังอยู่เบื้องหลังของพวกเขา จึงนำพาให้สถานการณ์เป็นไปอย่างที่เห็นตอนนี้ ในอนาคตก็คิดว่าจะยังคงเป็นแบบนี้ เราจึงต้องคิดว่าในอนาคตจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร” พะโด่ เกลอ เซ รองโฆษกสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ว่ามองอนาคต...หากความรุนแรงจะยิ่งทวีคูณ เนื่องจากกลุ่ม ชาติพันธุ์ไม่ไว้วางใจกองทัพพม่า และยังไม่มีสัญญาณเจรจาสันติภาพใดๆ ขณะที่กองกำลังต่างๆที่เคยแตกแถวจาก KNU ก็ประกาศหนุนการเลือกตั้ง ทำให้แนวรบในพื้นที่นี้ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้นคำถามที่ยังคงค้างคา...สงครามชายแดนไทย–เมียนมาจะยืดเยื้อไปอีกนานเพียงใด? และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางปืนใหญ่และเสียงระเบิด จะต้องทนทุกข์ไปอีกนานแค่ไหน?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม