แม้สถานการณ์ความขัดแย้ง ระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน ในพื้นที่พิพาทรัฐจัมมู-แคชเมียร์ ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงไป หลังรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายตัดสินใจหยุดยิง แต่ในความเป็นจริงนั้น “โอกาส” ที่ความรุนแรงปะทุขึ้นมารอบใหม่ยังเป็นไปได้อยู่ทุกเมื่อโดยสามารถดูจากถ้อยแถลงของ “นเรนทรา โมดี” นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ออกแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่าเหตุก่อการร้ายอันโหดเหี้ยมเมื่อวันที่ 22 เม.ย. พลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่มาท่องเที่ยวกลับถูกสังหารอย่างทารุณเพียงเพราะถูกตั้งคำถามเรื่อง “ศรัทธา” ต่อหน้าครอบครัวและบุตรหลานเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ทุกภาคส่วนของสังคม หรือแม้แต่ทุกพรรคการเมือง ยืนหยัดเป็นเสียงเดียวในการเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเข้มแข็งเพื่อต่อต้านก่อการร้าย และรัฐบาลได้มอบอำนาจอย่างเต็มที่ให้กองทัพดำเนินการจัดการ ส่งคำเตือนไปยังทุกกลุ่มถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างรุนแรง“ปฏิบัติการสีชาด” หรือ “สินดูร์” เมื่อวันที่ 6-7 พ.ค.ที่ผ่านมา ทางกองทัพอินเดียได้ดำเนินการโจมตีอย่างแม่นยำต่อแหล่งกบดานและศูนย์ฝึกของผู้ก่อการร้ายในปากีสถาน โดยมีหลักการ “ประเทศต้องมาก่อน” การโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนของอินเดีย ไม่เพียงทำลายโครงสร้างพื้นฐานแต่ยังทำลายขวัญกำลังใจฝ่ายตรงข้ามพื้นที่อย่างบาฮาวัลปูร์และมูรีดเกถูกใช้เป็นศูนย์กลางการก่อการร้ายในระดับโลกมาเป็นเวลานาน และเชื่อมโยงกับเหตุการณ์โจมตีร้ายแรงหลายครั้งทั่วโลก รวมถึงเหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐฯ เหตุระเบิดรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน และเหตุก่อการร้ายหลายสิบปีในอินเดียจากปฏิบัติการณ์ครั้งนี้มีผู้ก่อการร้ายถูกกำจัดไปกว่า 100 ราย รวมถึงแกนนำสำคัญที่วางแผนต่อต้านอินเดียอย่างเปิดเผยมายาวนานหลายทศวรรษ ผู้ที่คิดคุกคามอินเดียได้ถูกจัดการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม การโจมตีของอินเดียได้สร้างความหงุดหงิดอันฝังลึกแก่ปากีสถาน และเมื่อความตึงเครียดเกิดขึ้นปากีสถานกลับเลือกใช้ความรุนแรง แทนที่จะเข้าร่วมความพยายามของนานาชาติในการต่อต้านก่อการร้าย ภายในสามวันแรกของการตอบโต้ อินเดียได้สร้างความเสียหายต่อปากีสถานเกินกว่าที่ฝ่ายนั้นประเมินไว้ เป็นที่มาของการแสวงหาหนทางลดความตึงเครียดนายกรัฐมนตรีอินเดียเผยต่อไปว่า กองทัพปากีสถานติดต่อกับผู้อำนวยการใหญ่ของฝ่ายปฏิบัติการทหาร (DGMO) ในช่วงบ่ายวันที่ 10 พ.ค. ในคำร้องของปากีสถานนั้น ให้คำมั่นว่าจะยุติการก่อการร้ายและการรุกรานทางทหารต่ออินเดียอย่างสิ้นเชิง อินเดียจึงประเมินสถานการณ์และตัดสินใจระงับปฏิบัติการตอบโต้เป็นการชั่วคราว ทว่าการระงับนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด อินเดียจะติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าการกระทำในอนาคตจะสอดคล้องกับคำมั่นที่ให้ไว้ สำหรับกองทัพอินเดียทุกเหล่าทัพ ยังคงอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมสูงสุดตลอดเวลา เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ ปฏิบัติการสินดูร์กลายเป็นนโยบายที่ชัดเจนของอินเดียในการต่อสู้กับการก่อการร้าย ปฏิบัติการได้กำหนดมาตรฐานใหม่ในการรับมือการก่อการร้าย ประกอบด้วยหลัก 3 ประการ 1.การตอบโต้โดยเด็ดขาด-อินเดียจะตอบโต้การก่อการร้ายทุกครั้งด้วยท่าทีที่เข้มแข็งและหนักแน่น โดยจะดำเนินการตามเงื่อนไขของตนเองและมุ่งเป้าไปที่ศูนย์บัญชาการของผู้ก่อการร้ายตั้งแต่รากฐาน2.ไม่ยอมรับการข่มขู่ด้วยนิวเคลียร์-อินเดียจะไม่ยอมถูกข่มขู่ด้วยภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์ และทุกแหล่งหลบซ่อนของผู้ก่อการร้ายที่ใช้ข้ออ้างนี้จะถูกโจมตีอย่างแม่นยำและเด็ดขาด3.ไม่แยกแยะผู้สนับสนุนก่อการร้าย-อินเดียจะไม่มองผู้นำกลุ่มก่อการร้ายและรัฐบาลที่ให้ที่พักพิงเป็นคนละฝ่ายอีกต่อไป ระหว่างปฏิบัติการสินดูร์ โลกได้เห็นเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของปากีสถานไปร่วมพิธีศพของผู้ก่อการร้ายที่ถูกกำจัด แสดงถึงบทบาทโดยตรงในการสนับสนุนการก่อการร้ายระดับรัฐความสามัคคีคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียในการต่อสู้กับการก่อการร้ายทุกรูปแบบ แม้ยุคนี้จะมิใช่ยุคแห่งสงคราม แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นยุคแห่งการก่อการร้ายได้เช่นกัน นโยบายความไม่อดทนต่อการก่อการร้ายโดยเด็ดขาด คือหลักประกันของโลกที่ดีกว่าและปลอดภัยยิ่งขึ้นนายกรัฐมนตรีอินเดียยังย้ำว่าการหล่อเลี้ยงก่อการร้ายจะนำไปสู่หายนะ หากปากีสถานต้องการอยู่รอด จะต้องรื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานของการก่อการร้ายอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางเลือกอื่นหากต้องการสันติภาพการก่อการร้ายกับการเจรจาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ การก่อการร้ายกับการค้าไม่อาจดำเนินไปพร้อมกัน เลือดกับสายน้ำไม่อาจไหลไปด้วยกันได้ การหารือใดๆกับปากีสถานจะมุ่งเน้นเฉพาะในประเด็นการก่อการร้าย และการเจรจาใดๆกับปากีสถาน จะเกี่ยวข้องเฉพาะกับดินแดนแคชเมียร์เท่านั้นเส้นทางสู่สันติภาพต้องได้รับการนำทางด้วยความเข้มแข็ง มนุษยชาติจะต้องก้าวไปข้างหน้าสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง โดยให้มั่นใจว่าทุกคนในอินเดียสามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและทำความฝันให้อินเดียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้จริง เพื่อที่อินเดียจะรักษาสันติภาพได้ อินเดียต้องมีความเข้มแข็ง และเมื่อจำเป็นต้องนำความเข้มแข็งนั้นมาใช้ทั้งหมดนี้คือเส้นทางที่นายกรัฐมนตรีโมดีปูทางไว้อย่างชัดเจน.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม