ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่มาถึง ทีมข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐขอกล่าวสวัสดีปีใหม่อีกครั้ง พร้อมรับใช้ท่านผู้อ่านประเมินทิศทางของสถานการณ์ในปี 2568 นี้ ซึ่งมีความชัดเจนว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีน” จะกลายเป็นศูนย์กลางของโลกในประเด็นต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมการหวนคืนสู่บังลังก์ทำเนียบขาวสหรัฐฯของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ จะส่งผลให้การเมืองอเมริกันมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกันใหม่ จากเดิมที่จะดำเนินการแบบไม่กระโตกกระตาก ตามคอนเซปต์ “แข่งขันเมื่อสมควร ร่วมมือหากทำได้ เป็นศัตรูเมื่อจำเป็น” กลายเป็นเปิดหน้าชนตามสไตล์ของผู้นำใหม่ที่โผงผาง ชอบสร้างวาทกรรม และไม่แคร์สื่อ ประเด็นต่างๆจะถูกนำมาขยายผลให้ดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อนำมาเป็นเหตุผลในการเล่นงานคู่แข่ง จึงหนีไม่พ้นที่ปีนี้จะเป็นปีของการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมในหลายด้าน หลังจากช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศจีนภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ได้สะสมแต้มอิทธิพลทางการเมืองโลกไว้อย่างต่อเนื่อง วางบทบาทของตัวเองไว้ในฐานะเพื่อน หุ้นส่วน หรือพันธมิตร ที่มาพร้อมกับการรับประกันว่า “จะไม่แทรกแซงก้าวก่าย” กิจการภายในของประเทศนั้นๆ พร้อมจุดประเด็นให้มิตรประเทศเกิดคำถามว่า คบกับชาติตะวันตกมีแต่จะถูกสอนสั่ง จับเข้าห้องเลกเชอร์อบรมอะไรถูกอะไรผิดเช่นเดียวกับสถานการณ์ “ความมั่นคงโลก” สงครามใน “ยูเครน” ที่ยังไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะยุติลงในเร็ววัน แม้บรรยากาศจากค่ายตะวันตกจะมีการเปิดประเด็นกันมากขึ้นว่า ควรนำเข้าสู่กระบวนการเจรจาหาทางออก เพราะสุดท้ายต้องมาดูกันว่าลูกพี่ใหญ่สหรัฐฯจะตัดสินใจเช่นไร จะรักษาผลประโยชน์ในยูเครนไว้ได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะให้ “ยุโรป” เป็นผู้มา “แบกรับภาระ” อันหนักอึ้งไว้แทน ขณะที่ทางรัสเซียถึงจะประกาศอยู่ตลอดว่า “พร้อมเจรจา” แต่ก็กำลังรอเงื่อนไขที่เหมาะสม โดยเฉพาะหลักประกันว่าอิทธิพลทางความมั่นคงของตะวันตกภายใต้ธง “องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ” (NATO) จะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับภูมิภาครอบๆพรมแดนของรัสเซียอีกต่อไปแน่นอนว่า “จีน” จะต้องถูกโวยวายในเรื่องนี้ เนื่องด้วยสหรัฐฯกล่าวหามาตลอดว่าเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้รัสเซียรบต่อไปได้ ขายชิ้นส่วนอะไหล่ วัสดุด้านพลเรือนต่างๆที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ทางการทหาร ทั้งยังช่วยลดภาระของรัสเซียจากการถูกรุม “คว่ำบาตร” ค้าขายกันแบบใช้เงินสกุลของกันและกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทั้งระบบการเงิน Swift และเงินสกุล “ดอลลาร์สหรัฐฯ” ที่เป็นมาตรฐานสื่อกลางการแลกเปลี่ยนของโลกมาตั้งแต่หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2ประเด็น “ไต้หวัน” จะกลายมาเป็นหนึ่งในสมการทางการเมือง ชาติตะวันตกสามารถหยิบมาใช้ยื่นหมูยื่นแมวกับจีน ในลักษณะว่า ถ้าจีนยอมลดบาทในภูมิภาคอื่นๆ ทางเราก็จะลดบทบาทในเอเชียตะวันออกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าทางฝ่ายความมั่นคงจีนได้มีการกำหนดกติกาของตัวเองไว้รับมือด้วยเช่นกัน ด้วยการยกระดับการออกปฏิบัติการของหน่วยรบในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ทำให้โลกเกิดความคุ้นชินว่า พื้นที่นี้เป็นสิ่งที่จะมาแตะต้องมิได้ ซึ่งทีนี้จีนก็จะไม่มีทางตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ จนต้องยอมต่อรองเงื่อนไขใดๆที่ไม่เป็นประโยชน์ นอกเหนือจากสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังตึงเครียด เชื่อว่าในปี 2568 นี้จะเป็นอีกช่วงเวลาแห่งความยุ่งยากด้านเศรษฐกิจและการค้าโลก ผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจเบอร์หนึ่งที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดอย่างสหรัฐฯ กับเบอร์สองอย่างจีน หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวเตรียมขยายอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจหมายถึง อัตราภาษีสูงถึง 60% โทษฐานเกินดุลการค้ามูลค่ามหาศาล ยังไม่รวมถึงความไม่ลงรอยของจีนกับสหภาพยุโรปในหลากหลายกลุ่มสินค้า แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การเจรจาหาทางออก หรือใช้มาตรการตอบโต้ เสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกอย่างไรก็ตาม แม้การเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐฯยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน และยังต้องรอดูการแก้เกมของพญามังกรแต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเห็นบริษัทจีนก้าวข้ามเส้นทางเดิมด้วยการขยายธุรกิจในรูปแบบต่างๆนอกประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ นอกเหนือจากเพื่อขยายตลาดแล้ว แต่ยังใช้เป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของจีนจะยังคงเป็นเป้าหมายหลัก ด้วยประชากรส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่และเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับจีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง มีโอกาสด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือด้านเทคโนโลยี รวมทั้งยังช่วยขยายตลาดสินค้าจีนในแอฟริกาได้อย่างแข็งแกร่งขณะที่โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ยุทธศาสตร์จีนเชื่อมโลก “หนึ่งแถบหนึ่งเส้น ทาง” (BRI) โครงสร้างพื้นฐานขนาดมโหฬารเชื่อมต่อ 6 ภูมิภาคเกือบ 150 ประเทศทั้งทางบกทางน้ำ มีบทบาทสำคัญขับเคลื่อนสินค้าจีนให้กระจายไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการเป็นหนึ่งในสมาชิกยุคบุกเบิกของกลุ่ม BRICS กับรัสเซีย ร่วมด้วยประเทศทรงอิทธิพลในแต่ละทวีปอย่างอินเดีย แอฟริกาใต้และบราซิล ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการค้าจีนให้เติบโตรุดหน้ายังสร้างอำนาจและขยายอิทธิพลไปสู่กลุ่มประเทศในโลกใต้ (Global South) ที่มีสัดส่วนการค้ากับจีนราว 50% ที่สำคัญ ปี 2568 นี้ ครบรอบวาระการวางยุทธศาสตร์ “Made in China 2025” ของจีนที่มุ่งลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และลงทุนพัฒนานวัตกรรมของตนเอง ปรับเปลี่ยนจากการผลิตเน้น “ปริมาณ” สู่ “คุณภาพ” ครอบคลุมอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และโดรน เพื่อครองสถานะมหาอำนาจของโลกด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แม้จะถูกสหรัฐฯออกมาตรการสกัดดาวรุ่งมาโดยตลอด มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ทว่าพญามังกรไม่หวั่นไหว ยังเดินหน้ามุ่งสู่ยุทธศาสตร์ “Standards 2035” เขียนกฎเกณฑ์วางพิมพ์เขียวทางด้านเทคโนโลยี กำหนดมาตรฐานโลกสำหรับเทคโนโลยีเกิดใหม่ทุกสิ่งไล่ตั้งแต่ 6G อินเตอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT) ไปจนถึงการคำนวณเชิงควอนตัม ทั้งหมดล้วนเป็นการเปิดโอกาสใหม่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจสุดท้ายประเด็น “สังคม” จะถือเป็นปีที่สำคัญของจีนในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองระหว่างชาวจีนกับนานาชาติ การ “เปิดฟรีวีซ่า” จะดึงดูดทั้งคนและเม็ดเงินเข้าสู่แดนพญามังกร พร้อมส่งผลทางอ้อมให้ผู้มาเยือนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกดีๆกลับไป “จีนไม่ได้แย่อย่างที่เขาเล่าว่า” นอกจากนี้ในด้านความสัมพันธ์ระหว่าง “จีน–ไทย” ยังถือเป็นปีทองเนื่องในโอกาส “ครบรอบ 50 ปี” ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ และทำให้กำหนดการปี 2568 มีนัดหมายใหญ่อยู่ 3 ช่วงหลักคือวันตรุษจีน 29 ม.ค. วันครบรอบสัมพันธ์ 1 ก.ค. และวันชาติจีน 1 ต.ค. ไม่รวมถึงประเด็นการส่งแพนด้ามาไทย หรือความปลาบปลื้มของจีนที่จะได้รอต้อนรับสมาชิกราชวงศ์ไทยเสด็จเยือนอย่างเป็นทางการ งานนี้มีเสียงกระซิบมาด้วยว่า บางประเทศดูเหมือนพร้อมที่จะหลบฉากให้ ไม่ขอ “แย่งซีน” จากจีนในปีนี้แต่อย่างใด...ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงขอขนานนามว่า 2568 ถือเป็นปีที่โลกจะหมุนรอบ พญามังกรอย่างแท้จริง.ทีมข่าวต่างประเทศอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม