การเผชิญกับเหตุ “แผ่นดินไหว” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในภูมิภาคหรือพื้นที่ใดๆ ในโลก ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตาและติดตาม ข้อมูลที่รับรู้กันก็คือการเคลื่อนที่ระหว่างแผ่นทวีปและแผ่นมหาสมุทรที่ก้นทะเล ซึ่งก็คือแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ก่อเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงที่สุดและเกิดสึนามิที่อันตรายที่สุด ทว่าทุกวันนี้ มนุษย์ก็ยังไม่เข้าใจกระจ่างแจ้งนักว่า พวกมันเกิดขึ้นได้อย่างไรและเมื่อใด นั่นก็เพราะพื้นมหาสมุทรยากต่อการเข้าถึงเพื่อตรวจวัดการเข้าไม่ถึงพื้นที่อันยากลำบากนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดหาวิธีก้าวข้ามอุปสรรค ล่าสุด ทีมวิจัยนานาชาติที่ร่วมด้วยศาสตราจารย์เจมส์ ฟอสเตอร์ จากสถาบันภูมิมาตรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชตุทท์การ์ท ในเยอรมนี เผยว่า สามารถวัดค่าในระดับเซนติเมตรที่ใกล้ที่สุดได้เป็นครั้งแรกในเขตแผ่นดินไหวใต้น้ำนอกเขตรัฐอลาสกา ของสหรัฐอเมริกา โดยใช้ระบบนำทางด้วยดาวเทียมที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลพิกัดบนผิวโลก (global navigation satellite system-GNSS) ระบบระบุตำแหน่งแบบอะคูสติก การบันทึกคลื่นเสียง และใช้ยานหุ่นยนต์ลงไปวัดทีมเผยว่าเพื่อให้ทำนายแนวโน้มของแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดสึนามิได้ดีขึ้น ทีมอาศัยข้อมูลสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ ที่ตรวจสอบพื้นทะเลนอกชายฝั่งอลาสกาไม่นานก่อนแผ่นดินไหวใต้พื้นทะเลนอกชายฝั่งอลาสกา ใกล้เมืองชิกนิก ซึ่งก็เกิดแผ่นดินไหวแรงขึ้นจริงเมื่อ เมื่อ 28 ก.ค.2564 วัดขนาดได้ 8.2 แมกนิจูด ต่อมาประมาณ 2 เดือนครึ่ง หลังเกิดแผ่นดินไหวที่ชิกนิก ก็มีการใช้ระบบดาวเทียมนำทาง GNSS และยานหุ่นยนต์ลงสำรวจที่ระดับน้ำลึก 1,000-2,000 เมตร เพื่อระบุตำแหน่ง ผลที่ได้คือเครื่องมือเหล่านี้สามารถวัดได้ในระดับเซนติเมตร ถือว่าเข้าใกล้อย่างที่สุด ทำให้ได้ภาพที่แม่นยำของกระบวนการเลื่อนไหลของแผ่นโลกใต้ทะเล นักวิจัยมองว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเครื่องมือลงไปได้ลึกกว่านี้ได้โดยตรงที่ความลึกของน้ำ 3,000-4,000 เมตร เหนือส่วนที่ตื้นที่สุดของระบบรอยเลื่อนทั้งนี้ แผ่นดินไหวที่ชิกนิกนับเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับ 7 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเกิดขึ้นเนื่องจากแผ่นมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังเลื่อนผ่านแผ่นทวีปอเมริกาเหนือ จึงทำให้เกิดแรงผลักมหาศาล... แผ่นดินไหวขนาดใหญ่แบบนี้มีศักยภาพในการทำลายล้างอย่างมหึมาในบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกในมหาสมุทรและทวีปมาบรรจบกัน และที่น่ากลัวตามมาก็คือการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ!ภัค เศารยะ