ฝ่ายความมั่นคงทั่วโลกต่างจับตาอย่างใกล้ชิด ว่ากองทัพยูเครนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด จากปฏิบัติการตีโต้ทวงดินแดนจากรัสเซีย ในจังหวัดซาโปริชเชียทางภาคใต้ และจังหวัดโดเนตสก์ทางภาคตะวันออก หลังนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เพิ่งยืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ปฏิบัติการตีโต้ได้เริ่มไปแล้ว แต่ไม่ขอระบุรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์ก ไทม์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวความมั่นคงในรัฐบาลสหรัฐฯและยุโรปว่า ชาติตะวันตกจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าการบุกครั้งนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยรอดูจาก 2 ปัจจัยคือ 1.กองทัพยูเครนยึดดินแดนจากรัสเซียได้มากน้อยเพียงใด และ 2.กองทัพรัสเซียอ่อนแอลงมากน้อยแค่ไหนรายงานอ้างแหล่งข่าวของสื่อสหรัฐฯ ระบุว่าการให้การสนับสนุนทางการทหารแก่ยูเครน รวมถึงการให้หลักประกันความมั่นคงแก่ยูเครนหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ว่าปฏิบัติการตีโต้ของกองทัพยูเครนจะมีผลลัพธ์เช่นไร สำหรับหน้าฉากนั้นรัฐบาลสหรัฐฯและสหภาพยุโรปแสดงจุดยืนชัดเจนว่า เป็นหน้าที่ของนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ในการตัดสินใจเอาเองว่าความสำเร็จคืออะไร ซึ่งนายเซเลนสกีเคยประกาศไปแล้วว่า ความสำเร็จคือการทวงดินแดนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเคียร์ซอน ซาโปริชเชีย โดเนตสก์ ลูกานสก์ ไปจนถึงคาบสมุทรไครเมียที่ถูกรัสเซียผนวกไปตั้งแต่ปี 2557แต่ในทางหลังฉาก รัฐบาลสหรัฐฯและสหภาพยุโรปต่างยอมรับว่า การขับไล่กองทัพรัสเซียออกไปจากดินแดนยูเครน เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งรัฐบาลชาติตะวันตกมีการหารือกันภายในว่า หากทำได้ตามสองเงื่อนไขที่กำหนดไว้ขั้นต้น โดยเฉพาะการทำให้กองทัพรัสเซียอ่อนแอในระดับที่ก่อให้เกิดคำถามถึงอนาคตของปฏิบัติการพิเศษทางการทหารในยูเครน ก็จะถือว่าเป็นการตีโต้ที่ประสบความสำเร็จขณะที่สื่อการเมืองโพลิติโกของสหรัฐฯ รายงานด้วยว่า ทำเนียบขาวสหรัฐฯกำลังจับตาดูความคืบหน้าของปฏิบัติการตีโต้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะมองว่าชื่อเสียงของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการบุกครั้งนี้ ส่วนกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ออกแถลงการณ์ขอบคุณประชาชน หลังช่วง 10 วันที่ผ่านมา มีผู้อาสาสมัครเข้ารับใช้กองทัพรัสเซีย 13,644 คน ซึ่งมากกว่ายอดเดือน พ.ค. 2.1 เท่า และยอดเดือน เม.ย. 3.1 เท่า และยอดอาสาสมัครเข้ากองทัพตั้งแต่เดือน ม.ค.อยู่ที่ 117,400 คน.