เหยื่อคดีโชกุน ร้องก่อน1มิ.ย.
ดีเอสไอเดินเครื่องยึดทรัพย์สิน กว่า 50 ล้านบาท มีทั้งบ้านและรถ รวมทั้งเงินสดของนายปริญญา บุรัสการ ตัวการสำคัญในขบวน การแชร์ลูกโซ่ เพื่อเตรียมเยียวยา ให้ผู้เสียหายที่ถูกนายปริญญา กับนาวาตรีหญิง แพทย์หญิงพรรณรัตน์ จันทร์มณี แพทย์โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลอกลวงผู้เสียหายหลากหลายอาชีพ ทั้งแพทย์ วิศวกร ทหาร สจ๊วต และอาจารย์มหาวิทยาลัย ให้มาร่วมลงทุนในบริษัททัวร์ พบมีผู้เสียหายกว่า 38 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 64 ล้านบาท ส่วนคดี “ซินแสโชกุน” ปปง.แจ้งให้ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องขอคืนค่าเสียหายได้ที่สำนักงาน ปปง.ภายในวันที่ 1 มิถุนายนนี้
ดีเอสไอยึดทรัพย์ทั้งบ้าน รถ และเงินสด ประมาณ 50 ล้านบาท ในคดีนาวาตรีหญิง แพทย์หญิงพรรณรัตน์ จันทร์มณี แพทย์โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และนายปริญญา บุรัสการ แฟนหนุ่ม หลังหลอกลวงผู้เสียหายหลากหลายอาชีพให้มาร่วมลงทุนในบริษัททัวร์ครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 พ.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 1 ดีเอสไอ ร่วมแถลงดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินจากขบวนการหลอกลงทุน ธุรกิจจัดหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวในต่างประเทศ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีนโยบายให้ดีเอสไอดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 หรือ “คดีแชร์ลูกโซ่” ถือเป็นภัยต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและกระทบต่อสถานะทางการเงินของประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อโดยตรง โดยให้เร่งดำเนินการป้องกันและปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ดีเอสไอได้ใช้มาตรการเชิงรุกในการดำเนินคดีด้วยการสนธิกำลังและบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งใช้มาตรการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุกคดี เพื่อตัดวงจรการกระทำผิด และเพื่อเป็นทรัพย์สำหรับนำมาเฉลี่ยคืนผู้เสียหายตามคำสั่งศาลเมื่อคดีถึงที่สุดด้วย
...
“ดีเอสไอได้รับการร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหายว่า มีการโฆษณาหรือประกาศชักชวนให้มาร่วมลงทุนในธุรกิจจัดหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบกรุ๊ปทัวร์ จองในนามบริษัท ไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด ที่มีนายปริญญา บุรัสการ และ น.ส.จิรฐา ทองเหลือ เป็นกรรมการ อ้างว่าการร่วมลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในอัตราสูง โดยคำนวณแล้วสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินในประเทศ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุนจำนวนมาก แต่เมื่อลงทุนแล้วกลับไม่ได้รับค่าตอบแทนตามสัญญา เบื้องต้นมีผู้มาร้องทุกข์ 142 คน มูลค่าความเสียหาย 180 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ จากการสอบสวนขยายผลผู้ต้องหา 2 ราย พบความเชื่อมโยงถึงนายอภิวัฒน์ อัครเดชช์ และนาวาตรีหญิง แพทย์หญิงพรรณรัตน์ จันทร์มณี แพทย์โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะผู้ต้องหาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน” พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.พเยาว์เผยว่า อธิบดีดีเอสไอได้มีคำสั่งให้สอบสวนกรณีดังกล่าวและตรวจสอบทราบว่าได้มีการหลอกผู้เสียหายเป็นเพื่อนสมัยเรียนและอาชีพแพทย์ด้วยกัน จึงรับเป็นคดีพิเศษ ที่ 38/2560 ก่อนเข้าดำเนินการตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย 2 แห่ง เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด 1.บ้านเลขที่ 579/216 หมู่บ้านเดอะคอนเนค ซอย 8 ถนนสุขสวัสดิ์ 26 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพฯ ที่ตั้งของบริษัท ไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด และปรากฏชื่อ น.ส.จิรฐา ทองเหลือ เป็นเจ้าของและเป็นกรรมการบริษัท และ 2.บ้านเลขที่ 117/7 หมู่บ้าน astera pride ถนนพระราม 2 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพฯ ซึ่งมีนายปริญญา บุรัสการ ตัวการสำคัญในขบวนการแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวได้ซื้อไว้เป็นสินทรัพย์ มูลค่า 30 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา
“พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 24 ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ ยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ได้แก่ รถยนต์ 3 คัน มูลค่ารวม 7 ล้านบาท รถ จยย.บิ๊กไบค์ 7 คัน มูลค่ารวมประมาณ 3 ล้านบาท รวมทั้งอายัดเงินสด 6 ล้านบาท ที่นายปริญญา นำไปวางมัดจำเพื่อซื้อรถหรูยี่ห้อลัมโบร์กินี รวมมูลค่าการยึดอายัดทั้งสิ้นประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อยุติความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็นวงกว้าง รวมทั้งยังต้องสืบเสาะทรัพย์สินและยึดทรัพย์สินที่ได้มาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกลับมาเยียวยาผู้เสียหายต่อไป นอกจากนี้ จากการสอบสวนยังพบว่ามีการชักชวนให้ร่วมลงทุนผลิตภัณฑ์น้ำดื่มและตุ๊กตา หลอกขายให้นักท่องเที่ยวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายบางส่วนไปแจ้งความดำเนินคดีนายปริญญา ที่ บก.ปอศ. จึงเตรียมประสานข้อมูลพร้อมโอนสำนวนคดี หากมีผู้เสียหายเพิ่มเติมสามารเดินทางมาดีเอสไอได้เลย” พ.ต.ท.พเยาว์กล่าว
เที่ยงวันเดียวกัน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านไลน์สื่อมวลชน ระบุว่า นายวิทยา นิติธรรม ผอ.กองกฎหมาย ในฐานะโฆษก ปปง. แจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด (คดีซินแสโชกุน) ว่า ตามที่ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 134 ตอนพิเศษ 122 ง หน้า 18 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เผยแพร่ประกาศพนักงานเจ้าหน้าที่ สำนักงาน ปปง. เรื่อง ให้ผู้เสียหายยื่นคําร้องขอคุ้มครองสิทธิจากการกระทําความผิดมูลฐาน มีรายละเอียดระบุว่า เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 48 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รายของบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด กับพวก ไว้ชั่วคราว จำนวน 6 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน
“อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 แห่งระเบียบคณะกรรมการธุรกรรมว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิ ของผู้เสียหายในความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2559 จึงขอให้ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินจากการกระทําความผิดมูลฐานในรายคดีข้างต้น และไม่อาจดำเนินการเพื่อขอคืนทรัพย์สินหรือชดใช้คืนความเสียหายดังกล่าวได้ตามกฎหมายอื่นหรือดำเนินการตามกฎหมายอื่นแล้วแต่ไม่เป็นผล ยื่นคําร้องพร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดแห่งความเสียหาย และจํานวนความเสียหายที่ได้รับต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สํานักงาน ปปง. ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น” นายวิทยากล่าว
โฆษก ปปง. เผยต่อว่า สำนักงาน ปปง. ขอแจ้งให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากคดี บริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด (คดีซินแสโชกุน) เดินทางมายื่น “แบบคำร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปคืนหรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน” พร้อมหลักฐานที่สามารถระบุความเป็นสมาชิก หลักฐานแสดงรายละเอียดแห่งความเสียหายหรือจำนวนความเสียหายด้วยตนเอง ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ในวันและเวลาราชการ ณ กองสื่อสารองค์กร ชั้น 1 สำนักงาน ปปง. สะพานหัวช้าง เนื่องจากภายหลังการยื่นแบบคำร้องฯ ผู้เสียหายต้องพบพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงาน ปปง. เพื่อบันทึกถ้อยคำเพื่อยืนยันความเสียหายดังกล่าว
...