การลุกฮือของคนรุ่นใหม่ในเนปาลจาก “ชนวนรัฐบาลปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย” กำลังเป็นภาพสะท้อนการตื่นตัวทางการเมืองของคนรุ่น Gen Z ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความโปร่งใสจากภาครัฐผ่านพลังของเทคโนโลยี และการสื่อสารดิจิทัลในหลายประเทศปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ในประเทศเล็กๆแต่เป็นกรณีศึกษาในมิติกลยุทธ์การสื่อสารที่กำลังเป็นสมรภูมิต่อรองอำนาจรัฐกับประชาชนจึงนำมาถอดบทเรียน ผศ.ดร.สิงห์ สิงห์ขจร ประธานหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชานวัตกรรมการจัดการการสื่อสาร คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา มองว่ากรณีการประท้วงของ Gen Z ในเนปาลเมื่อเดือน ก.ย.2568 นับเป็นตัวอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึง “พลังสื่อดิจิทัลที่ไม่เคยมีมาก่อน” เมื่อฟางเส้นสุดท้ายถูกดึงออกมาในการห้ามใช้แพลตฟอร์มโซเชียลฯกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความโกรธในโลกออนไลน์นำมาสู่การเคลื่อนไหวที่มีผลทางการเมืองบนท้องถนนอย่างรวดเร็วแล้วจุดเริ่มต้นการประท้วงระลอกนี้ “ก็ไม่ได้มาจากปัญหาเศรษฐกิจ หรือการเมืองโดยตรง” แต่กลับเกิดจากรัฐบาลเนปาลสั่งแบนแพลตฟอร์มโซเชียลฯ โดยอ้างเหตุผลเป็นเรื่องความมั่นคง และต่อต้านข่าวปลอมแต่การกระทำนี้ถูกมองว่า “เป็นการปิดกั้นช่องทางการสื่อสาร และเสรีภาพ” ในการแสดงออกที่สำคัญของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พึ่งพาโซเชียลฯ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อการติดต่อสื่อสารกับครอบครัว เพราะด้วยชาวเนปาลจำนวนมากต่างไปทำงานในต่างประเทศที่ต้องใช้สื่อดิจิทัลส่งข่าวกลับบ้านอีกด้วยไม่เว้นแม้แต่ “ธุรกิจขนาดเล็ก แรงงานอิสระ และคอนเทนต์ครีเอเตอร์” ที่ต้องใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้หารายได้ ทำให้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจระดับครัวเรือน สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในสังคมเนปาลหากมาวิเคราะห์ในเชิง “กลยุทธ์การสื่อสารของผู้ชุมนุม Gen Z ในเนปาล” ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือประสานงาน และเคลื่อนไหว เพื่อสร้างเรื่องเล่าอันทรงพลังถ่ายทอดความเดือดร้อน และความไม่เป็นธรรมในการปลุกระดมการประท้วงครั้งใหญ่ผ่านภาพถ่าย และวิดีโอที่กระตุ้นอารมณ์ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “ในความทุกข์ของผู้ชุมนุมได้อย่างลึกซึ้ง” ส่งผลให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวที่ได้รับความสนใจ และได้รับแรงสนับสนุนจากสาธารณชนทั้งภายในประเทศ และนานาชาติดังนั้นแพลตฟอร์มสื่อสารฟรีที่ให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ สนทนาด้วยเสียง และวิดีโอ (Discord) “เป็นพื้นที่กลางในการสื่อสาร” สิ่งที่โดดเด่นในการประท้วงคือการใช้แพลตฟอร์ม Discord แต่เดิมนิยมในกลุ่มเกมเมอร์ก็ถูกนำมาเป็นพื้นที่ถกเถียงทางการเมือง และมีการสร้างห้องแชตที่เปรียบเสมือนพื้นที่กลางการสื่อสารโดยตรงเพื่อระดมสมอง “พูดคุยถึงปัญหาของประเทศ และเสนอชื่อผู้นำชั่วคราว” กลายเป็นเวทีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า “ไม่ยอมรับโครงสร้างการเมืองเดิมอีกต่อไป” ทำให้เกิดการระดมพลแบบดาวกระจายตามแพลตฟอร์ม Facebook, X (Twitter) และ Telegram ถูกใช้เป็นเครื่องมือนัดหมายชุมนุมได้อย่างรวดเร็วประเด็นคือ “ข้อมูลถูกกระจายออกไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง” ทำให้การประท้วงเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายจุดทั่วประเทศจนยากที่ทางการจะรับมือได้ แล้วอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญคือ “การใช้ข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์ผ่านไลฟ์สตรีมมิง” โดยผู้ชุมนุมใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายทอดสดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการใช้แฮชแท็ก (#) NepalProtest สร้างกระแสในออนไลน์ทำให้การประท้วงติดเทรนด์จากนานาชาติ “การสร้าง Meme และ Content ไวรัล” ทั้งสร้างสรรค์ภาพ Meme วิดีโอสั้นและกราฟิกประเด็นการคอร์รัปชัน หรือความล้มเหลวของรัฐบาลแบบเข้าใจง่ายเป็นตัวช่วยให้สาธารณชน และสื่อต่างประเทศเข้าถึงข้อเท็จจริงขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็พยายามควบคุมสถานการณ์ผ่าน “สื่อของรัฐ” ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ ชี้แจงเหตุผลในการแบนโซเชียลฯและประณามกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อความวุ่นวาย แต่การตอบโต้ผ่านช่องทางนี้ไม่ได้ผลในวงกว้างนักตรงกันข้าม “ยุคที่คนเสพสื่อออนไลน์” การที่รัฐบาลตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต เพื่อสกัดกั้นการสื่อสารของผู้ชุมนุมยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ในความพยายามปิดปากประชาชน “แถมปรากฏพบปฏิบัติการข่าวสาร (IO)” ที่ใช้บัญชีผู้ใช้ปลอมปล่อยข่าวลวงโจมตีแกนนำ หรือสร้างความแตกแยกในหมู่ผู้ประท้วงอีกด้วยแต่ว่าฝ่ายผู้ชุมนุมก็จัดตั้งกลุ่มตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) “ตอบโต้ข้อมูลเหล่านี้อย่างรวดเร็ว” ผลลัพธ์คือกลยุทธ์สื่อสารที่เหนือกว่า และรวดเร็วกว่าของกลุ่มผู้ชุมนุม Gen Z สามารถเอาชนะการสื่อสารแบบรวมศูนย์ของภาครัฐได้ ทำให้เกิดแรงกดดันทั้งใน และนอกประเทศต่างบีบให้ต้องยอมยกเลิกคำสั่งแบนโซเชียลฯ“เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญให้เห็นว่ายุคดิจิทัล การควบคุมการสื่อสารไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพลังของประชาชนที่เชื่อมโยงผ่านโลกออนไลน์สามารถขับเคลื่อนสร้างความชอบธรรมในการต่อสู้ทางความคิดระหว่างผู้ชุมนุมกับรัฐบาลและบทบาทเหล่านี้เปลี่ยนแปลงปรับตัวไปตามยุคสมัย และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่” ผศ.ดร.สิงห์ ว่าย้อนกลับมามองบริบทของประเทศไทย “คนรุ่นใหม่มักใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสื่อสารแสดงออกทางสังคมหลากหลาย” แต่ที่นิยมใช้กันมักจะเป็นไอจี Line TikTok Facebook ในอดีตช่วงการชุมนุมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ “แอปพลิเคชัน Telegram” ก็เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร นัดหมาย วางแผนการเคลื่อนไหวสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนรุ่นใหม่ “ใช้โซเชียลฯเป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวทางการเมือง” หากมองไปในอนาคตช่องทางการสื่อสารก็ยังเป็นกลไกอาจถูกนำมาใช้ในการปลุกระดมทางการเมืองได้ “ภาครัฐ” จึงต้องเฝ้าระวังเนื้อหาการสื่อสารที่จะเป็นการปลุกระดมความคิดเห็นทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความรุนแรงเช่นนี้จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้คนในสังคมไม่ให้หลงเชื่อเนื้อหาการปลุกระดมประเภทต่างๆผ่านกระบวนการให้ความรู้ และการตรวจสอบข้อมูลผ่านโซเชียลฯ ควรต้องตรวจสอบอย่างไรก่อนที่จะหลงเชื่อเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริง และหวังผลทางการเมืองก็จะสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้กับประชาชนได้อีกทางนี่คือบทบาทสำคัญของสื่อดิจิทัลในยุคนี้ “ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นช่องทางสื่อสาร” แต่ยังกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนพลังของคนรุ่นใหม่ เพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล และยังเป็นสนามรบทางความคิดที่ผู้ชุมนุมใช้ต่อสู้กับโครงสร้างอำนาจดั้งเดิมของรัฐอย่างเปิดเผย...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม