ผมสะดุดใจศัพท์ที่ 53 ในหนังสือ ภาษาสรรวรรณศัพท์ (ปรัชญา ปานเกตุ เขียน สถาพรบุ๊คส์พิมพ์ พ.ศ.2566) “จริงปลอมๆ ปลอมจริงๆ” ครับ เดาเอาว่า นอกจากความรู้ลุ่มลึกที่จะได้จากศัพท์ในชุดเดียวกัน คงตรงใจเพื่อนๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบพระเครื่อง“จริง” หรือ “จริงๆ” หนึ่งหมายถึงแท้ ตรงข้ามกับ “ปลอม” คือไม่แท้ “พูดจริงทำจริง” หมายถึงทำได้อย่างที่พูดไว้คนที่พูดจริงทำจริง เรียก “คนจริง” “จริงจัง” หนึ่งหมายถึงแน่แท้ เช่น เชื่อถืออย่างจริงจัง “จริงจัง” หนึ่งหมายถึงไม่เป็นการเล่น เช่น งานอย่างจริงจัง ทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง เรียก “กัดติด” หรือ “กัดไม่ปล่อย”ถ้าทำไม่จริงจังชอบเปลี่ยนงานบ่อยๆ เรียก “จับจด” ตั้งใจมุ่งมั่นทำอย่างจริงจัง เรียก “ตั้งหน้า” หรือ “ตั้งหน้าตั้งตา” ทำอะไรไม่จริงจัง เรียก “หยิบหย่ง” หรือ “หยิบโหย่ง” “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” ก็ว่าติดตามอย่างจริงจัง ใกล้ชิด เรียก “ถึงลูกถึงคน” “เป็นจริงเป็นจัง” หมายถึงหลักฐานมั่นคง “เอาจริง” หนึ่งหมายถึงตั้งใจทำอย่างจริงจัง “เอาจริงเอาจัง” ก็ว่า ถ้าตั้งใจทำอย่างจริงจังโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เรียก “เอาเป็นเอาตาย”“เอาจริง” หนึ่งหมายถึงเอาแน่ไม่ล้อเล่น “ใจจริง” หมายถึงใจที่แท้จริง “จริงใจ” หมายถึงบริสุทธิ์ใจ สุจริตใจ “ทีเล่นทีจริง” หมายถึงเล่นก็ได้ จริงก็ได้ คือแสร้งทำเล่นๆเป็นการลองเชิง แต่เมื่อเห็นเขาเผลอตัวหรือไม่ว่าก็เอาจริงทำทีเล่นทีจริงพอเจ้าของเผลอก็ขโมยเอาไว้ โบราณเรียก “ลักเลียม”“และเลียม” หมายถึงพูดเกี้ยวผู้หญิงทีเล่นทีจริง เช่น ตัวอย่างจากบทละครนอกเรื่องไชยเชษฐ์ “และเลียมเทียมเล่นเจรจา จะเป็นผัวแม่ข้าหรือว่าไร...”เรียกอาการที่ชายหยอกล้อหญิงในทำนองชู้สาวเป็นทีเล่นทีจริงว่า “หมาหยอกไก่” “หยิกแกมหยอก” หมายถึงเหน็บแนมทีเล่นทีจริง“เผาจริง” หมายถึงจุดไฟเผาศพ คู่กับ “เผาหลอก” หมายถึงพิธีวางดอกไม้จันทน์ก่อนเผาจริง“ไม้จริง” คือคำรวมเรียกไม้ต่างๆที่มีเน่ื้อแข็ง เว้นไม้ไผ่ ตัวอย่างจากพระราชหัตถเลขา เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.109 “พลับพลาที่ทำก็ทำจากเสาไม้จริง เครื่องไม้จริง กรอบผาแลบานประตูใช้ไม้จริง แต่กรุใช้ไม่ระกำทั้งลำเข้าเปนลายต่างๆ...”“รู้ไม่จริง” หมายถึงรู้ไม่ถ่องแท้ รู้ไม่มากพอ “ที่จริง” หนึ่งหมายถึงจริง แท้ แน่นอน “ที่จริง” หนึ่งเป็นคำขึ้นต้นประโยคหรือข้อความแสดงถึงความที่ถูกที่ควร “แท้ที่จริง” “อันที่จริง” หรือ “ตามที่จริง” ก็ว่า ใช้เป็น “จริงๆแล้ว” ก็มี“จริงอยู่...แต่” ใช้แสดงความยืนยันข้อความที่กล่าวมาแล้วข้างหน้า และแสดงว่ามีข้อความขัดแย้งตามมาข้างหลัง เช่น “จริงอยู่ที่เลิกคบ แต่ไม่ได้แปลว่าเลิกรัก” “จริงอยู่ที่คนเราจะรู้ไปหมดทุกเรื่องไม่ได้ แต่จะไม่รู้สักเรื่องเลยก็ไม่ได้เหมือนกันนะ”บางอย่าง “ของจริง” กับ “ของปลอม” ก็เหมือนจนแยกไม่ออก บ่อยครั้งที่พอเห็นดอกไม้จริงแล้วว่า “สวยอย่างกับของปลอม” แต่พอเห็นดอกไม้ประดิษฐ์ก็อุทานว่า “สวยอย่างกับของจริง”เรื่องท้าย...ที่อาจารย์ปรัชญา ปานเกตุ ตั้งใจใช้เป็น “มุกเด็ด” จบเรื่องพอดีเข้ากับยุคสมัยที่สังคมพระเครื่อง กำลังมีประเด็นเถียงกันเอาเป็นเอาตายเรื่องพระเหรียญหลวงพ่อทวดทองคำ รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ราคาห้าล้าน แท้หรือเก๊ผมเคยมีพระพิมพ์อยู่ 2 องค์ รู้กันว่าเป็นพระผงสุพรรณองค์หนึ่ง ผมไม่คิดสะสมเพราะไม่สันทัดด้านนี้ ญาติของเพื่อนผู้อารี จึงอาสานำพระไป “ปล่อย”กับปิยโวหารในวงการพระเครื่องว่า หมายถึง “ขาย” คู่กับ “เช่า” หมายถึง “ซื้อ”ไม่ช้าเธอก็ส่งข่าวผ่านเพื่อนผมมาว่า พระผงสุพรรณองค์นั้นเป็นของปลอม ผมขอพระที่เธอว่าปลอมกลับคืน แต่เธอพูดบ่ายเบี่ยงว่าขอเก็บไว้ก่อน ผมเทียวไปทวงพระอยู่นาน จนเกิดความละอายเสียเองจึงเลิกทวงแต่แล้ววันหนึ่งผมก็ไปพบกับญาติเพื่อนคนนี้โดยบังเอิญ เธอเพลิดเพลินพูดคุยกับคนอื่นอยู่ จึงไม่สังเกตเห็นผม ในคำพูดแจ้วๆนั้น เธอว่าเพิ่ง “ปล่อย” พระผงสุพรรณของเพื่อนหลานมาได้ราคาพอควรโบราณคงเรียกสถานการณ์นี้ว่า “จุดไต้ตำตอ”นาทีนั้นสิ่งที่เคยเคลือบแคลงเกิดคลี่คลายใสกระจ่าง “พระ” จะ “จริง” หรือเปล่าไม่รู้แต่ที่แน่ๆคือ “คน” น่ะ “ปลอม”กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม