“ปชน.-ภท.” ชิงธงนำแก้ รธน. 2 ร่างกอดคอผ่านฉลุยวาระรับหลักการ ค่ายสีส้มพลิกโค้งท้ายขานชื่อใหม่ชนะค่าย ภท.ได้เป็น ร่างหลัก สว.สีน้ำเงินแห่งดออกเสียงคว่ำทิ้งร่างฉบับพท. 60 สว.โหวตผ่านไม่ถึง 1 ใน 3 หรือ 66 เสียง พท.เทเสียงหนุน ปชน. “สุทิน” ไม่ไว้ใจพรรคไม่อยากแก้ รธน. ถ้าไม่สำเร็จอนาคตประเทศมืดมน “เท้ง” โอ่ใช้ร่างฉบับ ปชน.เป็นหลัก เริ่มต้นหมุนเข็มนาฬิกาให้ประเทศ ไทยเดินหน้าหลังหยุดนิ่ง 20 ปี “พริษฐ์” โต้ สว.ครหาแก้ รธน.เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ไล่ สว.ไปหาอาชีพใหม่ “ภราดร” พูดเอาหล่อ ภท.ยอมถอยให้ผู้บริหารท้องถิ่นเลือก ส.ส.ร.จังหวัด ชงรัฐสภาเฟ้นเหลือ 100 คน “บวรศักดิ์” แจงไทม์ไลน์เลือกตั้ง 29 มี.ค.69 ใช้ พ.ร.บ.ประชามติฉบับเดิม ต้องผ่านแก้ รธน.วาระ 3 ไม่เกิน 20 ธ.ค. แต่ ถ้าต้องใช้ ก.ม.ฉบับใหม่ ขยับเส้นตายไม่เกิน 19 ม.ค.69ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับของพรรคประชาชน (ปชน.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยมีมติผ่านความเห็นชอบเพียง 2 ฉบับคือร่างของพรรค ปชน. ที่ได้เสียงเห็นชอบ 568 เสียง พรรค ภท. 629 เสียง ขณะที่ร่างของพรรค พท.แม้ได้เสียงรับหลักการ 521 เสียง จาก สส. 461 เสียง สว.60 เสียง ไม่ถึง 1 ใน 3 หรือ 66 เสียง ถือไม่ผ่านความเห็นชอบวาระรับหลักการ“พท.” ห่วงตีเช็คเปล่าได้ รธน.กล่องสุ่มเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ต.ค. ที่รัฐสภามีการประชุมร่วมรัฐสภา มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับของพรรคประชาชน (ปชน.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) เพื่อแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นวันที่สอง โดยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายว่า การแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้คือการออกเดินทางครั้งใหม่ของคนไทยทั้งชาติ เรืออาจจะโคลง คลื่นลมแรง แต่ต้องออกจากฝั่ง ถ้าไม่ให้ประชาชนรู้รายละเอียดเหมือนเขียนเช็คเปล่าให้คณะผู้ร่างไม่ควรปล่อยให้เกิดรัฐธรรมนูญกล่องสุ่ม ต้องไม่ใช่แค่ประชามติ แต่ต้องศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน ประชามติควรเป็นสนามความคิด ไม่ใช่สนามทุนว่าฝ่ายใดมีทุนหรือเสียงดังมากกว่า ทุกเสียงมีน้ำหนักเท่ากันไม่ว่ากระเป๋าหนักหรือเบา การแก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน แต่ต้องพูดคุยกันได้ พรรค พท.ยืนยันคือนักสู้ตัวจริงในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน จะสู้ให้ได้รัฐธรรมนูญของประชาชน“สุทิน” หนุนรื้อทิ้ง รธน.ปี 60นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายว่า ประเทศไทยเขียนรัฐธรรมนูญบ่อยและเยอะที่สุด ถูกค่อนแคะคิดแต่แก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่แก้ปัญหาปากท้องประชาชน เหตุที่ไทยมีรัฐธรรมนูญบ่อย เพราะวงจรอุบาทว์เขียนแล้วฉีก ฉีกแล้วเขียน อย่าโทษคนเขียน ต้องไปโทษคนฉีก รัฐธรรมนูญหลังรัฐประหารมักไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจึงต้องเขียนใหม่ เกิดปัญหาขัดแย้งตามมา รัฐธรรมนูญปี 60 หากไม่แก้ทำงานยาก เป็นรัฐธรรมนูญที่คนได้ที่ 1 ไม่ได้เป็นรัฐบาล คนได้ที่ 3-4 ตั้งรัฐบาล แต่โฆษณาชวนเชื่อเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ยุบพรรคมาไม่รู้กี่พรรค สร้างผู้นำ 3 ปี 3 คน และมีมาตรา 144 ให้ สส.-สว.ขนลุก โยกงบฯมาใช้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หมุนเงินเข้าหาประชาชน แต่อาจถูกตัดสิทธิการเมือง เป็นรัฐธรรมนูญที่ส่งเสริม หรือลดทอนบทบาทตัวแทนประชาชนห่วงไปไว้ใจพรรคไม่อยากแก้ รธน.นายสุทินกล่าวว่า ที่สำคัญเป็นรัฐธรรมนูญแก้ไขยากที่สุด ไม่หวังเท่าไรแต่ต้องทำ คนที่จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้สำเร็จคือพรรค ภท.แกนนำรัฐบาล มี สว.เป็นคนชี้ขาด แต่คนประสาน สว.ได้ดีสุดคือ พรรค ภท. ดังนั้น เส้นทางแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่พรรค ภท. แต่กังวลใจเพราะไม่รู้พรรค ภท.เต็มใจแก้หรือไม่ หรือต้องทำเพราะเอ็มโอเอ สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจคือไปไว้ใจคนที่ไม่อยากแก้ แต่กลับไม่ไว้ใจคนอยากแก้ ไม่อยากจี้ใจดำใคร แต่การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่าคิดว่าจะง่าย คนไม่อยากแก้ก็ไปบังคับให้มาแก้ ฝากข้อกังวล เรากำลังร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญกับคนที่อยากหรือไม่อยากแก้ ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ อนาคตประเทศจะมืดมน“เท้ง” โน้มน้าวใช้ร่าง ปชน.เป็นหลักจากนั้นนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. อภิปรายว่า เรากำลังโหวตเพื่อความเป็น ไปได้หมุนเข็มนาฬิกาในประเทศไทยให้เดินหน้าต่อหลังนาฬิกาเรือนนี้หยุดนิ่งไปเกือบ 20 ปี ร่างฉบับพรรค ปชน.ผู้ยกร่างไม่ใช่ ส.ส.ร. แต่หัวใจอยู่ที่กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตั้งแต่ชั้นการยกร่าง ผู้ยกร่าง การทำประชามติยึดโยงกับประชาชนมากน้อยแค่ไหน แม้อาจไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับปลายทางหรือฉบับในฝัน แต่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้ เริ่มนับหนึ่งลบล้างมรดก คสช. เช่น เป็นจุดเริ่มต้นหยุดยั้งกระบวนการนิติสงคราม ออกแบบระบบพรรค การเมืองใหม่ ปิดช่องไม่ให้มี สส.งูเห่า จะเป็นกุญแจอีกดอกที่เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในฉบับต่อไปในอนาคต หากพวกเรายังไม่ริเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่วันนี้ เข็มนาฬิกาของประเทศไทยยังคงหยุดนิ่งต่อไป อยากจะเสนอให้นำร่างพรรค ปชน.เป็นร่างหลักสิ่งที่คิดมาทำได้ ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด หากเราให้ความกลัวเป็นตัวกำหนดอนาคตของประเทศ จะไม่มีวันเดินหน้าอะไรใหม่ได้“บวรศักดิ์” วางวัน ลต.ใหม่ 29 มี.ค.69ต่อมาเวลา 13.30 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ชี้แจงว่า พร้อมนำข้อมูลการอภิปรายจากสมาชิกรัฐสภาส่งให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และคณะ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญไปพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญในอนาคต การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นอำนาจรัฐสภา แต่การทำประชามติตาม พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ กำหนดให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญให้นายกฯทราบ เพื่อหารือกับ กกต.กำหนดวันลงประชามติ และคำถามประชามติ จึงขอนำเสนอไทม์ไลน์ใน 2 กรณีคือ 1.กรณี พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติฉบับปัจจุบันยังมีผลบังคับใช้ ตามข้อตกลงเอ็มโอเอที่ให้ยุบสภาใน 4 เดือน จะครบกำหนดยุบสภาวันที่ 31 ม.ค.69 ทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในกรณียุบสภา ต้องเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน วันที่เหมาะสมจะเลือกตั้งที่สุดคือวันที่ 29 มี.ค.69 ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและเอ็มโอเอขีดเส้นให้ผ่านแก้ รธน.ไม่เกิน 20 ธ.ค.นายบวรศักดิ์กล่าวว่า เมื่อทำประชามติมาเกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติฉบับปัจจุบัน กำหนดให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกฯทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันออกเสียงประชามติระหว่าง 90-120 วัน นับแต่วันที่แจ้งต่อประธานรัฐสภา เมื่อรัฐบาลต้องการประหยัดงบฯให้ออกเสียงประชามติไปพร้อมวันเลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค.69 ดังนั้น กรอบเวลา 90 วัน คือวันที่ 30 ธ.ค.68 จะเป็นวันที่นายกฯและ กกต.ประกาศให้ทำประชามติ การลงมติแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 ควรไม่เกินวันที่ 15-20 ธ.ค.68 เผื่อระยะเวลาทิ้งไว้ 10 วัน ให้ประธานรัฐสภาส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกฯและ กกต. และหารือกำหนดวันทำประชามติเป็นวันเดียวกับการเลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค.69 ต้องขอความกรุณารัฐสภาลงมติแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 วันที่ 15-20 ธ.ค.แนะรัฐสภา-รบ.ประสานเวลาให้ดีนายบวรศักดิ์กล่าวว่า ส่วนไทม์ไลน์กรณีที่ 2 ที่ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติฉบับใหม่ที่นำขึ้นทูลเกล้าฯไปแล้ว และมีประกาศบังคับใช้จะทำให้รัฐสภามีเวลาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมากขึ้น หากยุบสภาวันที่ 31 ม.ค.69 และเลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค.69 แต่กรอบเวลาการประกาศวันทำประชามติจะลดจาก 90 วัน เหลือ 60 วัน ดังนั้น วันสุดท้ายที่จะประกาศวันทำประชามติคือวันที่ 29 ม.ค.69 หากเป็นเช่นนี้ รัฐสภาต้องลงมติการแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 3 ช่วงวันที่ 15-19 ม.ค.69 และเว้นเวลาไว้ 10 วันเพื่อให้ประธานรัฐสภาจัดทำร่างตลอดจนคำอธิบายสาระสำคัญของร่าง เพื่อให้รัฐบาลหารือกับ กกต.ได้ ไทม์ไลน์ดังกล่าวเป็นไปตามเอ็มโอเอ และ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ การจัดทำรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา รัฐบาลไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่ต้องประสานงานกันหลายเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ จึงได้เสนอไทม์ไลน์ที่รัฐบาลมองว่าควรจะเป็นเช่นนั้นปชน.ไล่ สว.เตรียมหาอาชีพใหม่ต่อมาเวลา 13.40 น. หลังสมาชิกอภิปรายครบถ้วนทุกคนแล้ว ให้ตัวแทน 3 พรรคอภิปรายสรุปหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.กล่าวสรุปว่า การกล่าวหาร่างพรรค ปชน.เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ล้มล้างการปกครอง เป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรงขอปฏิเสธ เหตุที่ร่างพรรค ปชน.ไม่ได้เขียนล็อกห้ามแก้ไขหมวด 1 และ 2 ไม่ใช่ล้มล้างการปกครอง แต่เพราะในรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่าห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง สิ่งที่เพื่อนสมาชิกแนะนำให้เตรียมชื่อพรรคใหม่ขอบคุณคำแนะนำ แต่ขอตอบด้วยคำแนะนำเช่นกันว่า หาก สว.ที่มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายจะกลั่นกรองกฎหมายด้วยหลักการไม่อยู่บนข้อเท็จจริงเช่นนี้ ขอแนะนำให้เตรียมพิจารณาหาอาชีพใหม่เช่นกัน ยืนยันว่าร่างพรรค ปชน.ไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่เป็นร่างใกล้เคียงกับการมี ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งมากที่สุดภท.ยอมถอยปรับเนื้อหาร่างนายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรค ภท.กล่าวสรุปว่า ร่างพรรค ภท.ที่หลายฝ่ายกังวลขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ยืนยันเจตนารมณ์พรรค ภท.ต้องการให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ติดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จึงให้รัฐสภาเลือก ส.ส.ร.แทน พรรค ภท.ไม่ยึดติดร่างตัวเอง สิ่งที่กังวลกรณีประชาชนไม่มีส่วนร่วม เราพร้อมให้นำตัวแทนประชาชน เช่น อบต. เทศบาล สท. นายก อบต. มาเลือก ส.ส.ร.จังหวัด อาจให้เลือกมา 300 คน ตามโมเดลพรรค พท. แล้วส่งให้รัฐสภาเลือกเหลือ 100 คน เป็นการถอยโดยใช้ส่วนผสมพรรค พท.มารวมด้วย นี่คือสิ่งยืนยันพรรค ภท.มีเจตนาให้การแก้รัฐธรรมนูญลุล่วงถึงปลายทาง อะไรเป็นอุปสรรคพร้อมถอย ถ้าถอยคนละก้าวก็เดินไปด้วยกันได้ ขอให้ช่วยรับหลักการทั้ง 3 ร่าง อะไรไม่เห็นด้วยเก็บใส่กระเป๋า แล้วไปแสวงหาจุดร่วมในชั้น กมธ. ให้คำมั่นสัญญาจะทำเต็มที่ อย่าทำให้ความคาดหวังประชาชนสะดุด เพราะทิฐิว่าความคิดตัวเองดีที่สุด ให้ได้รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน มีประชาชนเป็นหุ้นส่วนประเทศร่าง ภท.–ปชน.ผ่านฉลุย–พท.ร่วงกระทั่งเวลา 14.20 น. ที่ประชุมรัฐสภาเริ่มการขานชื่อลงคะแนนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง 3 ฉบับในวาระที่ 1 โดยขานชื่อเรียงตามตัวอักษรเป็นรายบุคคล ใช้เวลาขานชื่อเกือบ 2.30 ชั่วโมง ผลปรากฏว่า 1.ร่างพรรค ปชน.ได้คะแนนรับหลักการ 568 เสียง เป็นเสียง สส. 460 เสียง สว.108 เสียง ไม่รับหลักการ 10 งดออกเสียง 74 มีคะแนนรับหลักการเกินกึ่งหนึ่งและมีคะแนนเสียง สว.ร่วมรับหลักการเกิน 1 ใน 3 ถือว่าที่ประชุมรัฐสภารับหลักการ 2.ร่างพรรค ภท.รับหลักการ 629 เสียง เป็น สส. 462 เสียง สว. 167 เสียง ได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งจากสมาชิกรัฐสภา และมีเสียง สว.เห็นชอบเกิน 1 ใน 3 ถือว่ารับหลักการ 3.ร่างพรรค พท. รับหลักการ 521 เสียง เป็น สส. 461 เสียง สว. 60 เสียง แม้จะมีคะแนนรับหลักการเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา แต่มีเสียง สว.ร่วมรับหลักการไม่ถึง 1 ใน 3 หรือ 66 เสียง ถือว่าร่างพรรค พท.ไม่ผ่านความเห็นชอบในวาระรับหลักการจากที่ประชุมรัฐสภาภท.เฉือนเฉียดฉิวได้เป็นร่างหลักจากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการตั้ง กมธ.เพื่อพิจารณาในวาระที่ประชุมมีมติตั้ง กมธ.มาพิจารณา 43 คน เป็น สส. 31 คน สว. 12 คน ต่อมานายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม สอบถามว่าจะใช้ร่างใดเป็นร่างหลัก น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรค ภท. เสนอให้ใช้ร่างพรรค ภท.เป็นร่างหลัก ขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. เสนอให้ใช้ร่างพรรค ปชน.เป็นร่างหลัก ส่วนนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ประกาศว่าพรรค พท.จะลงคะแนนสนับสนุนร่างพรรค ปชน. จากนั้นที่ประชุมได้โหวตลงมติตัดสิน ผลปรากฏว่าคะแนนที่ปรากฏบนหน้าจอจากการเสียบบัตรลงคะแนน ร่างพรรค ปชน.และพรรค ภท.ได้คะแนนเท่ากัน 290 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง ต่อมามีผู้ขานคะแนนด้วยวาจาเพิ่ม 7 คน มี 5 คนขานคะแนนให้พรรค ภท. อีก 2 คนให้พรรค ปชน. ทำให้ร่างพรรค ภท.ได้รับความเห็นชอบเป็นร่างหลัก 297 เสียง ร่างพรรค ปชน. 292 เสียง ถือว่าให้ใช้ร่างพรรค ภท.เป็นร่างหลักประท้วงวุ่นให้นับคะแนนใหม่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในห้องประชุมรัฐสภาเกิดความวุ่นวายตามมา สส.พรรค ปชน.และพรรค พท.เสนอให้นับคะแนนใหม่ เพราะการลงมติเมื่อสักครู่มีทั้งเสียบบัตรและขานชื่อ ผลคะแนนห่างกันไม่มาก ควรโหวตใหม่อีกครั้ง แต่ สส.พรรค ภท.คัดค้าน นายวันมูหะมัดนอร์ชี้แจงว่าตามข้อบังคับการประชุมหากจะให้นับใหม่กรณีคะแนนแตกต่างกันไม่มาก ต้องใช้วิธีการขานชื่อลงคะแนน นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.จึงเสนอญัตติให้นับคะแนนใหม่โดยขานชื่อ แต่นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรค ภท. โต้แย้งว่าการนับคะแนนใหม่คือการเอาคะแนนมานับใหม่ ไม่ใช่การโหวตลงมติใหม่ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะโต้เถียงกันไปมา ในที่สุดนายวันมูหะมัดนอร์วินิจฉัยให้นับคะแนนใหม่ โดยการขานชื่อลงคะแนนขานชื่อใหม่ ปชน.พลิกกลับมาชนะต่อมาเวลา 17.50 น.ที่ประชุมรัฐสภา ได้ขานชื่อลงคะแนนเป็นรายบุคคลว่าจะใช้ร่างของพรรคปชน.หรือร่างของพรรค ภท. เป็นร่างหลัก ใช้เวลาขานชื่อลงคะแนนนาน 2 ชั่วโมง โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย เดินทางกลับมาที่รัฐสภา เพื่อโหวตลงคะแนนให้ร่างพรรคภท.ด้วย กระทั่งเวลา 19.40 น.หลังการขานคะแนนเสร็จสิ้น นายวันมูหะมัดนอร์ขานผลคะแนนว่าร่าง ของพรรค ปชน. ได้ 300 คะแนน ร่างของพรรค ภท.ได้ 287 คะแนน ถือว่าใช้ร่างพรรค ปชน. เป็นร่างหลัก ก่อนสั่งปิดประชุมเวลา 19.45 น.สว.สีน้ำเงินแห่งดออกเสียงคว่ำ พท.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ในวาระที่ 1 ร่างของพรรค พท.ที่ไม่ผ่านวาระรับหลักการมาจาก สว.สีน้ำเงินจำนวนมากลงมติงดออกเสียง โดยมี สว.บางส่วนลงมติรับหลักการเฉพาะร่างพรรค ภท. อาทิ พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา นายอลงกต วรกี ขณะที่ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ อาทิ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส นายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ ลงมติรับหลักการเฉพาะร่างพรรค ปชน. พรรค พท. แต่ไม่รับหลักการพรรค ภท. ส่วน สส.ส่วนใหญ่ลงมติรับหลักการทั้ง 3 ร่าง ยกเว้นนายชัชวาลล์ คงอุดม สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลงมติไม่รับหลักการทุกร่าง และนายสิริน สงวนสิน สส.กทม.พรรค ปชน. รับหลักการเฉพาะร่างพรรค ปชน. และ พท. แต่ไม่รับหลักการร่างพรรค ภท. และมีสมาชิกหลายคนไม่อยู่ร่วมโหวตลงมติ อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย และนายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาฯที่ติดภารกิจเข้าเฝ้าฯรับเสด็จ ตามหมายกำหนดการ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน นายเกรียง กัลป์ตินันท์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา พรรค ปชป. น.ส.สุภาพร กำเนิดผล สส.สงขลา พรรค ปชป. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค พปชร. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.ค้านหั่นกฎเหล็กสเปกนักการเมืองเมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ คณะแกนนำคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล แถลงข่าวคัดค้านความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 ทั้งฉบับของพรรค ภท. พรรค พท. และพรรค ปชน. โดยนายสมชาย แสวงการ อดีต สว. กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ทั้ง 3 พรรคกำลังแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ใช่แก้รายมาตรา ถึงแม้พรรค ภท.จะบอกไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 แต่แค่ยกหมวด 1 หมวด 2 ไปใส่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะคุณสมบัติ สส. สว. คุณสมบัติองค์กรอิสระและคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงกฎหมายมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการป้องกันการปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบแต่ละองค์กร แต่เราเห็นด้วย จะให้แก้ไขรายมาตรา โดยเฉพาะมาตราปราบโกง ให้ปรับปรุงมากขึ้น เช่น ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ ครม.ไปใส่ไว้ใน สส. สว. ผู้บริหารองค์กรอิสระนายกฯย้ำไทม์ไลน์ ลต. ตาม “บวรศักดิ์”เมื่อเวลา 14.40 น. ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ พูดในสภาถึงไทม์ไลน์การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นวันที่ 29 มี.ค.69 ว่า เมื่อสักครู่นายบวรดิ์ศักดิ์พูดในรัฐสภาใช่หรือไม่ ก็เป็นร่างที่นายบวรศักดิ์วางเอาไว้ เป็นไปตามไทม์ไลน์ ส่วนจะทำประชามติไปพร้อมด้วยเลยหรือไม่ นายบวรศักดิ์ต้องไปประสานกับ กกต.โชว์เสื้อคนละครึ่งพลัสให้ภาพเล่าเรื่องก่อนหน้านั้นเวลา 10.18 น. ที่อาคารรัฐสภานายอนุทินเดินทางถึงรัฐสภาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อนายอนุทินเดินทางมาถึงมีเด็กนักเรียนที่มาศึกษาดูงานรัฐสภาได้รอเจอนายกฯ และร่วมถ่ายภาพอย่างคึกคัก นายอนุทินถามเด็กนักเรียนว่ารู้หรือไม่ว่า ตนเป็นใคร เด็กนักเรียนตอบว่า นายกฯ จากนั้นนายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจว่าจะสรุปสภาวะเศรษฐกิจของประเทศช่วงไตรมาสสุดท้าย จะสอบถามมาตรการระยะสั้น กลาง เอาเรื่องแก้ปัญหาลดความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ เมื่อถามว่าวันแรกเปิดลงทะเบียนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส นายอนุทิน กล่าวว่า ลงทะเบียน ก่อนหันไปทางนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและ รมว.คลัง ที่ยืนอยู่ ข้างๆแล้วเปิดเสื้อสูทโชว์เสื้อยืดด้านในที่มีโลโก้โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ก่อนบอกว่าให้ภาพเล่าเรื่องฟุ้ง 4 เดือนเร่ง Quick Big Winจากนั้นเวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา นายอนุทินเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องและตัวแทน 3 สถาบันเอกชนเข้าร่วม โดยนายอนุทินกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลมีนโยบายจัดประชุม ครม.เศรษฐกิจก่อนประชุม ครม.ทั่วไป เพื่อการสื่อสารที่รวดเร็วและรับฟังปัญหาจากทุกฝ่ายได้ ให้ตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจขึ้น มีทั้งตัวแทนภาคเอกชนมาร่วม มั่นใจจะผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโต แก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้ แม้มีเวลา 4 เดือน แต่จะเน้นการทำนโยบายควิกวิน หรือตามมอตโต้ของ รมว.คลัง คือ Quick Big Win ให้สอดคล้องกรอบเวลารัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน ขอให้เน้นความคล่องตัว ลดขั้นตอนทั้งหลายที่ไม่จำเป็น การประชุมนี้สัปดาห์นี้ประชุมวันพุธ เพราะเพิ่งตั้งคณะกรรมการ หลังจากนี้จะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์ หากมีมติหรือตกลงสิ่งใดแล้วจะบรรจุเข้าวาระการประชุม ครม.ทุกวันอังคาร“พรพจน์-สยาม” ขอบคุณนายกฯเวลา 12.05 น. ที่รัฐสภา หลังนายอนุทินเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจเสร็จสิ้น นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งโยกย้ายกลับมาตำแหน่งเดิม ตามมติ ครม. วันที่ 14 ต.ค. และนายสยาม ศิริมงคล อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมเช่นกัน ขึ้นไปหานายอนุทิน ที่ห้องประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ นำพวงมาลัยมามอบให้เพื่อขอบคุณนายอนุทิน“เท้ง” อู้อี้อ้างไม่อยากตอบซ้ำนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ มท.ลอตใหญ่ว่า ได้เปิดช่องทางข้าราชการทุกคนที่รู้สึกว่าแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ไม่เป็นธรรม ส่งข้อมูลมาได้เลย ไม่อยากตอบซ้ำๆ ถ้าทำให้เสียหายไม่อาจกลับมาแก้ไขได้อีก คงต้องพยายามเต็มที่หยุดยั้งการกระทำ น่าสงสัยการแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กลอตที่ถูกสังคมตั้งคำถามเยอะ เมื่อถามว่าทำไมต้องรอให้คนมาร้องเรียน นายณัฐพงษ์ตอบว่า เราตรวจสอบอยู่แล้ว เพียงแต่ข้อมูลเชิงลึกที่มีน้ำหนัก ต้องเป็นข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบ ยินดีรับเรื่องร้องเรียน ตั้งข้อสงสัยได้ว่าวางเครือข่ายเตรียมพร้อมเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ขอไม่ตอบประเด็นเหล่านี้เพิ่มเติมดีกว่า เพราะตอบมาหลายครั้งแล้ว“หนูนา” ปัดข่าว “วราวุธ” ซบ พท. ที่ จ.นครปฐม น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) และนายนิกร จำนง ผอ.พรรคและประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ชทพ.ร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครปฐม และนางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภรรยา มีนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ที่ปรึกษาพรรค ชทพ. นายอนุชา สะสมทรัพย์ นายพาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ นายศุภโชค ศรีสุขจร 3 สส.นครปฐม พรรค ชทพ. ร่วมทำบุญถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์โดย น.ส.กัญจนากล่าวว่า เป็นตัวแทนหัวหน้าพรรค ชทพ.ร่วมแสดงความยินดี ตระกูลสะสมทรัพย์เป็นครอบครัวใหญ่ อบอุ่น ที่สำคัญอยู่กับพรรค ชทพ.มาโดยตลอด ต้องกราบขอบพระคุณอย่างมาก ส่วนกระแสข่าวว่านายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค กับพรรค ชทพ.ถูกทาบทามให้ย้ายไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ หรือไปเป็นแคนดิเดตนายกฯเป็นแค่กระแสข่าว ดูแล้วยังไม่มีตัวจริงคนไหนออกมาพูดเลย ยืนยันทุกคนยังอยู่พรรค ชทพ. เราอยู่เป็นกลุ่มก้อนมั่นคงแน่นเหนียว หัวหน้าพรรคและทุกคนในพรรคเวลาทำงานเราเป็นมิตรกับทุกพรรค มีการประสานร่วมไม้ร่วมมือกับทุกพรรค ไม่ได้มีประเด็นอะไรกับพรรคไหน เรายังคือพรรค ชทพ. วันหน้าอาจมีอีกเป็นเรื่องของวันหน้า“บ้านใหญ่นครปฐม” อยู่ ชทพ.ไม่ไปไหนด้านนายเผดิมชัยกล่าวว่า ทีมสะสมทรัพย์จะอยู่พรรค ชทพ. มีหลายคนให้โอกาส มาเชิญเราทุกวัน ไปไม่ได้จริงๆไม่ได้เล่นตัว เรายังเป็นมิตรกันได้ แต่เพื่อให้ความชัดเจนกับเพื่อนสมาชิกของเราทั้งหมด เราเลือกทางเดินทีมสะสมทรัพย์ รวมใจกันอยู่ตรงนี้ ต้องขอขอบคุณทุกพรรคด้วย คงได้ทำงานร่วมกันในอนาคตฟันอดีต สส.พปชร.รวยผิดปกติ 5.7 ล้าน วันเดียวกัน นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช.แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดคดีนายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ อดีต สส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ร่ำรวยผิดปกติ 5,783,958 บาท สมัยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เมื่อปี 53-57 ไต่สวนพบว่าช่วงปี 53-57 ที่นายกษิดิ์เดชเป็น สก.มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาทรัพย์สินได้ 2 รายการรวม 5,783,958 บาท คือที่ดินและตึกสองชั้นเขตบางกะปิ กทม.มูลค่า 1,420,462 บาทและที่ดินเขตบางกะปิ กทม. มูลค่า 4,363,496 บาท พิจารณาแล้วมีมตินายกษิดิ์เดชร่ำรวยผิดปกติ ให้ส่งรายงานไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาล สั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ให้ถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ หากไม่สามารถบังคับเอาทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลา 10 ปีอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่