พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานเงิน 42 ล้านบาท สร้างอาคาร-ที่พักบุคลากร รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ ที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา ส่วนชาวบ้านริมชายแดน “สุรินทร์-บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ” ที่ได้รับผลกระทบ ยิ้มออก แห่กดเงินเยียวยา 5 พันบาท ขณะที่ อดีต ผญบ.แนงมุด ข้องใจ “มทภ.2” คนใหม่ บอกปราสาทคนาไม่มีใครครอบครอง ทั้งที่ก่อนปี 2554 คนไทยขึ้นไปเที่ยวได้สบาย ไม่มีทหารกัมพูชา แต่หลังจากนั้น กัมพูชากลับอ้างสิทธิ-ห้ามคนไทยเข้า ชี้พิรุธกัมพูชาสร้างบันไดเป็นพันขั้นขึ้นมาได้ แต่ไทยกลับเข้าตัวปราสาทไม่ได้ ทั้งที่อยู่บนสันปันน้ำฝั่งไทย ส่วน “บ้านหนองจาน” ลุ้นเส้นตาย 10 ต.ค.นี้ ที่ให้คนกัมพูชารต้องย้ายออกจากเขตแดนไทยที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 6 ต.ค.พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ศ.นพ. เกษม วัฒนชัย องคมนตรี มอบเงินพระราชทานการก่อสร้างอาคาร รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และมอบถุงยังชีพพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมนายพัฒนากล่าวว่า เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สุรินทร์ ช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 ส่งผลให้อาคารภูมิพัฒน์ และอาคารที่พักพยาบาล ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอันหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานเงิน 42 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารภูมิพัฒน์ 12 ล้านบาท และอาคารที่พักพยาบาล 30 ล้านบาท และสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานถุงยังชีพ 800 ถุง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ของ รพ.สำหรับอาคารภูมิพัฒน์ เป็นอาคารสูง 2 ชั้น ใช้ในการปฏิบัติงานจิตเวช ยาเสพติด จัดแสดงนิทรรศการ และกิจกรรมชุมชน ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ ส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวอาคาร พิจารณาแล้วไม่คุ้มค่าในการซ่อมแซมและปรับปรุง ต้องดำเนินการก่อสร้างใหม่ โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 12 ล้านบาท ส่วนอาคารแฟลตที่พักพยาบาล เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ใช้เป็นที่พักอาศัยของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล เป็นจุดที่กระสุนปืนใหญ่ตกใส่บริเวณด้านหลังอาคารทำให้พื้นผนัง ฝ้าเพดาน กระจก ประตู-หน้าต่าง รวมทั้งโครงสร้างอาคารได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด พิจารณาแล้วเห็นสมควรให้ก่อสร้างใหม่เป็นอาคารสูง 5 ชั้น เพื่อรองรับบุคลากรของโรงพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 30 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งงบประมาณสนับสนุน วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนเครื่องมือแพทย์ที่เสียหายทั้งหมดขณะที่ตลอดช่วงเช้า ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของทหารกัมพูชา เมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 ทั้งใน จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ต่างมา รอที่หน้าตู้เอทีเอ็มของธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในสาขาตามอำเภอ เพื่อรอกดเงินช่วยเหลือเยียวยาที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ให้ผู้ที่อพยพหลบภัยการสู้รบเป็นเวลา 8 วันขึ้นไป ได้รับเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 5 พันบาท ไม่เกิน7 วัน ได้เงินช่วย 2 พันบาท เริ่มโอนเงินผ่านพร้อมเพย์เข้าบัญชีธนาคาร ในวันที่ 6-7 ต.ค. โดยใน จ.สุรินทร์ มี 147,370 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ทำให้ที่หน้าธนาคารในสาขา อ.พนมดงรัก ที่บริเวณตลาดชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง รวมถึง สาขาสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมาเข้าแถวกดเงินอย่างไม่ขาดสาย หลายคนบอกว่าดีใจที่ได้เงินเยียวยา และจะนำเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายในครอบครัว เพราะช่วงนี้ทำมาหากินลำบาก ส่งผลเงินขาดมือ ไม่พอใช้จ่าย ส่วนสถานการณ์ชายแดนยังคงปกติ ไม่มีการปะทะของกำลังทหารทั้งสองฝ่าย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง และเตรียมพร้อมอพยพตลอดเวลาเช่นเดียวกับที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของทหารกัมพูชา พากันมารอหน้าตู้เอทีเอ็ม ธ.ก.ส.ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อกดเงินเยียวยา และนำไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งของจำเป็นในครอบครัว รวมถึงเก็บไว้เป็นค่าน้ำมันรถเผื่อต้องอพยพออกจากบ้านอีกครั้ง โดยที่ อ.บ้านกรวด มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 13,797 ครัวเรือน วงเงินกว่า 68 ล้านบาท ส่วนภาพรวมทั้ง จ.บุรีรัมย์ มีจำนวน 39,632 ครัวเรือน วงเงิน 198,160,000 บาทไม่ต่างจากที่ ธ.ก.ส.สาขากันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนทยอยมาปรับสมุดบัญชี เพื่อตรวจสอบยอดเงินเยียวยาที่ภาครัฐโอนเข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงที่ ธ.ก.ส.สาขาภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ ชาวบ้าน จำนวนมากจากพื้นที่ช่องสะงำ มาต่อคิวเพื่อเช็กยอดเงินและกดรับเงินเยียวยาจากภาครัฐ ซึ่งแต่ละคนต่างยิ้มแย้มดีใจที่ได้รับเงินเยียวยาก้อนนี้ หลังจากรอมาหลายเดือน ทั้งนี้ จังหวัดศรีสะเกษ มียอดผู้ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาทั้งสิ้น 90,338 ครัวเรือน และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) 81,807 ครัวเรือนสำหรับสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ส่อมีปัญหาถูกกัมพูชารุกล้ำอีกจุดใน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายวีรวัฒน์ พันธุ์ศิลป์ อายุ 65 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านแนงมุด ม.1 ต.แนงมุด อ.กาบเชิง ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าออกปราสาทคนา มาตั้งแต่วัยรุ่น ว่าก่อนปี 54 ประชาชนสามารถเข้าไปเที่ยวปราสาทคนาได้ ไม่พบว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาอยู่บริเวณนั้น แต่หลังจากการสู้รบเมื่อปี 54 เข้าไม่ได้อีกเลย พอเข้าไปทหารบอกว่าฝั่งกัมพูชาไม่ให้เข้าไป ตนอยากรู้ว่าปราสาทคนาที่อยู่บนพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ทำไมคนไทยเข้าไปไม่ได้ แต่ทำไมแม่ทัพภาคที่ 2 บอกว่าไม่มีใครครอบครอง และรอสำรวจร่วม แต่ทำไมคนไทยถึงเข้าไปเที่ยวไม่ได้ รวมทั้งทหารไทย แต่ทหารกัมพูชากับคนกัมพูชาขึ้นมาเที่ยวได้ ไม่เหมือนกับปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย เพราะหลายคนอยากเข้าไปดูว่ามีปราสาทคนาอยู่ตรงนี้ เจ้าหน้าที่ไทยไม่ให้ข้ามไป บอกว่ากัมพูชาไม่ให้เข้าไป มันมีฐานทหารอยู่บริเวณตัวปราสาทนายวีรวัฒน์กล่าวอีกว่า ตนอยากฝากกองทัพ เอาแผ่นดินไทยตรงปราสาทคนาคืนให้ได้ อีกข้อสังเกตว่าเป็นพื้นที่ร่วม ทำไมกัมพูชาสามารถสร้างบันไดเป็นพันๆขั้นขึ้นมาได้ แต่ฝั่งไทยไปถึงแค่แหล่งน้ำโบราณ หนองคันนา ซึ่งเป็นสระใหญ่ ขนาด 8-9 ไร่ แต่ไม่สามารถเข้าไปที่ตัวปราสาทที่อยู่ห่างจากหนองคันนาเข้าไปประมาณไม่เกิน 200 ม.ได้ ทั้งที่อยู่บนสันปันน้ำฝั่งไทย แต่ถ้าคนไทยอยากไปเที่ยวก่อนที่จะเกิดสงคราม ต้องลงไปทางฝั่งประเทศกัมพูชาขึ้นบันไดมา ทั้งที่ถนนฝั่งไทยเข้าไปถึง ถ้ากัมพูชาทำบันไดมาได้ เราก็สามารถทำถนนเข้าไปและไปเที่ยวได้เหมือนกัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีใครควบคุมและอยู่ระหว่างสำรวจเขตแดนร่วม ส่วนที่แม่ทัพว่าเรื่องเขตแดนยังไม่แน่นอน ตนมองว่าไม่ใช่ เพราะอยู่บนพื้นที่หลักเขตแดนที่ 20-21 ตรงกลางพอดี และอยู่บนสันปันน้ำของไทยขณะที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พื้นที่ความรับผิดของกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) บรรยากาศทั่วไปในช่วงเช้า เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชน หรือชาวบ้านฝั่งกัมพูชารวมตัวบริเวณแนวรั้วชายแดนแต่อย่างใดทั้งนี้ มีรายงานจากฝ่ายข่าวความมั่นคงว่า ชาวกัมพูชาอาจกำลังรอเวลารวมตัวกันอีกครั้งในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็น “วันครบกำหนดเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่บ้านหนองจาน” ออกนอกเขตแดนไทย ทำให้เจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาและหน่วยเฉพาะกิจคลองหาด ยังคงคุมเข้มพื้นที่อย่างใกล้ชิด จัดเวรยามและหมุนเวียนกำลังพลเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดและบินโดรนลาดตระเวนเพิ่มเติม เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด รวมถึงเฝ้าระวังการลักลอบข้ามแดนของคนกัมพูชาที่จะเข้ามาเป็นแรงงานผิดกฎหมายในไทยต่อมากองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันว่าสืบเนื่องจากกองทัพภาคที่ 1 ขอให้ภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชาจัดทำแผนอพยพประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และบ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว รวม 3 พื้นที่ ก่อนจะเข้าสู่การประชุม RBC ตามคำเชิญของภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชานั้น โดยได้รับหนังสือตอบกลับเมื่อ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทางภูมิภาคทหารที่ 5 ไม่สามารถดำเนินการตามที่กองทัพภาคที่ 1 ได้เสนอไป กองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันว่าหากไม่ได้รับความร่วมมือจากภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา เกี่ยวกับการจัดทำแผนการอพยพประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย การประชุม RBC ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากไม่มีวาระเพิ่มเติมที่จะนำไปสู่การยุติของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่