เป็นสัญญาณที่ดี ชัดเจนอยากเปลี่ยนแปลงนักการเมืองรุ่นใหญ่ยืนหยัดคู่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และการเมืองไทยเกือบ 6 ทศวรรษ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดใจให้สัมภาษณ์ ทีมการเมือง ถึงบรรยากาศภายในพรรค หลังนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออกจากหัวหน้าพรรค ปชป.ขณะนี้ยังไม่กล้าว่าเป็น สส.ส่วนใหญ่ แต่เท่าที่สังเกตดู สส.ที่เข้ามาพูดคุยด้วย อยากเปลี่ยนแปลงชัดเจน โดยไม่ต้องไปกดดันหรือไม่ต้องไปขอร้อง เพื่อไปสู่ในสนามเลือกตั้งใหญ่“เมื่อก่อนผมขอร้องให้เลือกคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนที่สู้กับคุณเฉลิมชัย แต่เที่ยวนี้รู้สึกว่าไม่ต้องไปบอกกล่าว ทุกคนรู้ด้วยตัวเองว่า พรรคอยู่ในสภาพอย่างไร จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ความนิยมขยับขึ้นมา”นายชวน ได้พาย้อนไปยุคที่พรรค ปชป.ตกต่ำปี 2519 ตอนเกิดเหตุ 6 ตุลา 19 นายสมัคร สุนทรเวช ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ มีคนแยกไปเยอะเลย แต่ผมยังอยู่ อนาคตพรรคในนั้น “ใครๆก็บอกว่าประชาธิปัตย์จบแล้ว”หลายคนชักชวนให้ออกจากพรรค ผมคิดอยู่ในใจ ถ้ามันจบก็ไปสมัครเป็นผู้พิพากษา แต่ให้ไปตั้งพรรคใหม่ ไม่มีความคิด สุดท้ายเลือกตั้งหลัง 6 ตุลา 19 เลือกตั้งปี 21 พรรค ปชป.แพ้ ในกรุงเทพฯ ได้ สส. 1 คน ทุกภาคก็ตกหมดแม้กระทั่ง จ.ตรัง ปกติได้ที่หนึ่ง แต่ครั้งนั้นแพ้หมดได้ผมคนเดียว เพราะความผูกพันในพื้นที่ คนอาจไม่ชอบพรรคแต่ยังชอบนายชวนอยู่ฉะนั้นเวลาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคหรือใครก็ตาม อย่ามองข้ามความสำคัญตัวบุคคล เพราะสังคมมองว่าคนนั้นคือใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคนำประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ไม่ใช่ใครจะมาก็ได้ ไม่ใช่ ตรงนี้เป็นประสบการณ์จากปี 2519ต้องยอมรับหลัง 6 ตุลา เลือกตั้งปี 21 เลือกตั้งปี 22 มันตกไปด้วยกระแส และที่พรรค ปชป.เพิ่มมาได้ เพราะการเมืองยังสู้กันตรงไปตรงมา ปัจจุบันต้องยอมรับส่วนใหญ่เอาเรื่องเงินเป็นเครื่องต่อรองแต่ไม่ใช่ทุกพรรค ตัวเงินกลายเป็นเงื่อนไข ใครอยากไปอยู่พรรคไหน ไม่ใช่อุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องว่าให้เท่าไหร่ การเมืองเปลี่ยนเป็นสังคมธุรกิจการเมืองครั้งนี้คะแนนประชาธิปัตย์ตกมากกว่าปี 19การฟื้นคืนกลับมาต้องอาศัยความพยายามคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในหมู่คนเดิมและคนรุ่นใหม่ที่เข้ามีบทบาททางการเมือง แม้ปัจจุบันกระแสกับเงิน บางทีกระสุนหนักกว่ากระแสฉะนั้นขอย้ำถึงการเลือกคนเข้ามาเปลี่ยนแปลงพรรค ปชป.ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งดูคุณภาพของบุคคลที่มาเป็นผู้นำพรรค หมายความว่าต้องเป็นนายกฯได้ เพราะพรรค ปชป.ไม่ควรเป็นอะไหล่หรือเป็นส่วนประกอบที่ขอให้ได้ สส.9-10 คน ได้รัฐมนตรีสักคนสองคน มันไม่ควรคิดอย่างนั้น“ประชาธิปัตย์ต้องคิดถึงความก้าวไกลไปในอนาคต จะคิดใหม่ก็ตาม แต่ต้องมองไปไกลว่าเมื่อไม่พร้อมก็เป็นฝ่ายค้าน ถ้าพร้อมก็เป็นรัฐบาลสอดคล้องกับกระแสการเมือง คนส่วนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าประชาธิปไตยเป็นแบบนี้หรือ ใครมีเงินก็ซื้อไปหมด คนทำผิดไม่ต้องรับผิดเลยหรือสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาตามอุดมคติที่ประกาศชัดเจน การเมืองสุจริต การเมืองบริสุทธิ์ เราสู้ในแนวทางนี้ถึงเสียเปรียบเวลาเลือกตั้ง”เวลาเลือกตั้งสมมติเราคะแนนท่วมท้น แต่สู้คนซื้อยาก ในที่สุดวันหนึ่งประชาชนรู้สึกว่าปัจจุบันกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ คล้ายๆใครมีเงินหรือนักการเมืองมีอำนาจ สามารถมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นได้ ตรงนี้เป็นอีกแนวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดหลักนิติธรรมถึงได้ย้ำเสมอว่าประชาธิปไตยรอดได้ กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ ผิดต้องผิด ถูกต้องถูก อย่าไปแกล้งกัน ถ้ามัวยกเว้น ระบอบประชาธิปไตยจะถูกประเมินว่าล้มเหลวรวมถึงความซื่อสัตย์สุจริตตลอดเวลายาวนาน ยึดในเรื่องนี้มาตลอด แต่ปัจจุบันภาพอันนี้มันจางลงไป คนที่จะเข้ามาต้องทำให้ความแน่นอน ความหวังของคนส่วนหนึ่งอยากเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่สุจริต เที่ยงธรรม กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ฉะนั้นการเมืองสุจริต ยึดหลักนิติธรรม ซื่อสัตย์สุจริต ยึดระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พรรค ปชป.ต้องยืนยันเรื่องนี้ออกไป ตลอด อะไรที่เป็นจุดอ่อนต้องแก้ เพื่อให้ประชาชน เชื่อมั่นระบบนี้ ไม่ล้มเหลว เป็นระบบที่สามารถเดินต่อไปได้ทำให้ ปชป.น่าเป็นอีกพรรคที่คนเริ่มมองเห็น ท่ามกลางพรรคการเมืองมากมายที่มีทั้งดีและร้าย คนมองว่าในที่สุดเห็นเหตุการณ์บ้านเมือง อย่างน้อยพรรค ปชป.มีจุดเด่นกว่าปัจจุบันในบางเรื่องมีผลงานที่ทำมาในอดีตและมีผลยาวเกิดผลจนปัจจุบัน แต่นโยบายเหล่านี้ไม่คึกคัก เพราะเน้นนโยบายที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริตคงได้เห็นโฉมหน้าพรรคประชาธิปัตย์รูปแบบใหม่หลังมีการเปลี่ยนแปลง นายชวน บอกว่า ต้องรอหัวหน้าพรรคคนใหม่ หวังได้คนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ มีศักยภาพทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเป็นพรรคการเมืองที่ทุกคนยอมรับความท้าทายพรรค ปชป.นอกจากมีจุดแข็งตามอุดมคติ ยังมีอะไรไปขายให้ประชาชน นายชวน บอกว่า พรรค ปชป.ไม่ทำแบบประชานิยม เพื่อต้องการให้สังคมเข้มแข็ง ประชาชนเข้มแข็งบ้านเมืองก็อยู่รอดพรรค ปชป.จะพลิกฟื้นได้อย่างไร นายชวน บอกว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเก่าก็พ้นไปแล้ว เขาทำงานแต่ภาพของพรรคไม่ดี ไม่โดดเด่นขึ้นมา บังเอิญมีการเปลี่ยนแปลงปุบปับโดยไม่ต้องรอให้ครบเทอม 4 ปีฉะนั้นต้องให้ความหวังคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีหัวหน้าพรรคที่สามารถประกาศเป็นนายกฯได้ คราวที่แล้วก็สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ปัจจุบันผมก็ยังสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ที่มีความพร้อมตามเงื่อนไขที่ได้พูดไว้ข้างต้นเมื่อได้ผู้บริหารชุดใหม่ก็ต้องหาคนทุกรุ่น ประเทศไทยประกอบด้วยคนทุกรุ่น คนที่มาร่วมกันบริหารพัฒนาพรรคต้องเอาคนที่มีความรู้ ความเข้าใจปัญหาบ้านเมือง มีจิตใจอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่แสวงหาผลประโยชน์ ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง อันนี้สำคัญที่สุดภาคใต้ฐานเสียงถูกตีแตก กทม.ไม่มีเหลือ อีสานไม่เหลือ คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต้องทำงานหนักมาก นายชวน บอกว่า ใช่ เป็นเรื่องจริง แต่ถึงอย่างไรผมเคยรณรงค์อย่าเลือกพรรคเพื่อไทยจากผลของนโยบายแกล้งชาวใต้ โดยเลือกปฏิบัติพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกพรรคไทยรักไทยพรรคเพื่อไทยได้คะแนนท่วมท้นเป็น สส.กว่า 200 คน แต่ที่ภาคใต้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว ผมเป็นหนี้บุญคุณชาวบ้านที่ไม่เลือกพรรคนี้ กรณีแบบนี้ถ้าเรานิ่งเฉย ไม่ต่อสู้ก็เหมือนกับทรยศ ชาวบ้าน และอยากบอกกับ สส.ภาคใต้ด้วย ถ้าไม่รักภาคก็อย่าทรยศภาคใต้ โดยไปเห็นดีเห็นงามกับคนที่แกล้งคนภาคใต้ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรพรรค ปชป.เป็นทางเลือกของประเทศได้อย่างไร ท่ามกลางการเมืองกำลังเซตตัว พรรคภูมิใจไทยเนื้อหอมมีคนแห่เข้า พรรคเพื่อไทยกำลังปรับตัว พรรคประชาชนดูอ่อนแรงลง แต่ยังมีแรงอยู่ นายชวน บอกว่า สิ่งที่ถามเป็นเรื่องจริง“อย่าไปประเมินพรรคต่างๆต่ำ ถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ติดคุก อย่าคิดว่าเพื่อไทยจะหมดไป พรรคนี้มีเงินทุน มีพวก ขอย้ำอย่าไปประเมินน้อยเกินไปภูมิใจไทยเห็นมีอดีตสมาชิกประชาธิปัตย์เข้าไปรายงานตัว แสดงว่าพรรคเหล่านี้สร้างคนเหมือนไปเหมามาจากที่อื่น ทำให้มีจำนวนคนมากขึ้นประชาธิปัตย์คงไม่เล็งผลเลิศที่ไปสู้เขาด้วยวิธีว่าคะแนนท่วมท้นมากมาย แต่ท่ามกลางการเมืองบ้านใหญ่ที่ใช้เงิน เราไม่มีบ้านใหญ่ ผู้สมัคร สส.เขตก็เหนื่อยแต่เมื่อมีผู้บริหารชุดใหม่ มีความพร้อมมากกว่าปัจจุบัน สส.น่าจะเพิ่มได้บ้างไม่มากก็น้อย แม้ดูแล้วยังยากที่จะฝ่าพรรคการเมืองที่มีความพร้อมได้”ทั้งหมดมองเป้าหมายไม่ประมาทน่าทำให้ ปชป.มีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม