รัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนามกำลังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ชั่วอายุคน เพื่อเป้าหมายยิ่งใหญ่ของการเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ตัวใหม่ภายในปี 2588ในช่วงหลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม รัฐบาลได้พยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยจากตัวเลข ในปี 2533 ชาวเวียดนามมีเงินซื้อสินค้าโดยเฉลี่ยต่อปีเพียงคนละ 38,880 บาทเท่านั้น แต่วันนี้ชาวเวียดนามเฉลี่ยต่อคนสามารถซื้อสินค้าได้ถึงคนละ 530,874 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นมาถึง 13 เท่าจากเมื่อ 35 ปีที่แล้วการที่เวียดนามเปลี่ยนสถานะจากประเทศยากจนเป็นประเทศศูนย์กลางผู้ผลิตสำคัญของโลก เป็นเพราะเวียดนามเน้นภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สนับสนุนภาคธุรกิจเอกชนและส่งออกสินค้าราคาถูกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดจนเวียดนามได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ ถึง 123,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 และโดนสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษี 20%ไม่นานมานี้ รัฐบาลเวียดนามได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจโดยเน้นพัฒนาด้านการลงทุนไฮเทค อาทิ คอมพิวเตอร์ชิป เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ และพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งลงทุนมหาศาลด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงโรงงานนิวเคลียร์พลเรือนและก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมต่อภาคเหนือกับภาคใต้ของประเทศ ความพยายามยกระดับตัวเองเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกโดยจะจัดตั้งศูนย์กลางการเงินพิเศษที่นครโฮจิมินห์ ซิตี้และที่เมืองดานัง และคลายกฎระเบียบเพื่อดึงเงินจากนักลงทุนต่างประเทศ รวมทั้งผลักดันให้ภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้นำในการลงทุนและตั้งเป้าว่าภายในปี 2573 บริษัทเอกชนเวียดนาม 20 แห่ง จะต้องยกระดับขึ้นเป็นสู่สถานะระดับโลกรัฐบาลเวียดนามได้รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจชนิดยกเครื่องเพื่อเป้าหมายสู่การเป็นเสือตัวต่อไปของอาเซียน แต่ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ.ผู้เล็กน้อยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม