ในสัปดาห์นี้คงได้ข้อสรุปกันเสียทีว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะตัดสินใจเช่นไร เรื่องอัตรากำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศกว่า 170 ประเทศใครจะโดนอัตราเท่าไร น่าจะได้คำตอบกันถ้วนหน้า แต่ที่แน่ๆคืออัตรากำแพงภาษี “ยืนพื้น” ที่ระดับ 10% อาจยากที่จะรอดพ้นอุ้งเล็บของพญาอินทรีสุดท้ายขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศจะมีกลเม็ดการเจรจา มีข้อแลกเปลี่ยนเช่นไรมานำเสนอ เพื่อหวังที่จะปิดดีลกับประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีความขึ้นชื่อว่า “เอาแน่เอานอนไม่ได้”มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่า อินเดีย เวียดนาม และไต้หวัน มีแนวโน้มที่จะสามารถได้ข้อสรุปที่สหรัฐฯพึงพอใจ ซึ่งผลก็ปรากฏไปแล้วว่า เวียดนามคือผู้ที่เข้าเส้นชัยไปคนแรก อัตราภาษีอยู่ที่ 20%แต่ถ้าเป็นสินค้าที่นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาแปะแบรนด์เมด อิน เวียดนาม ก็จะถูกตั้งไว้ที่ 40% และที่สำคัญ เวียดนามจำเป็นต้องซื้อของจากสหรัฐฯเยอะๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้าสหรัฐฯขาดดุลเวียดนามในทางกลับกัน ยังมีหลายประเทศเช่นกัน ที่ยังไม่ยอมสิโรราบง่ายๆ อย่างญี่ปุ่นที่เจรจาไปแล้วถึง 7 ครั้ง และกำลังจะเจรจาเป็นรอบที่ 8 ในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 9 ก.ค.นี้สหรัฐฯกำลังพยายามบีบญี่ปุ่นเพิ่มเติม ให้ยอมนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ โดยเป็นการจี้จุดเรื่องที่ข้าวในญี่ปุ่นผลผลิตไม่ดี ราคาในตลาดพุ่งคูณสอง ขณะที่ญี่ปุ่นเองได้แสดงจุดยืนมาตลอดว่า จะไม่ยอมเรื่องกำแพงภาษีตอบโต้ 24% กำแพงภาษียืนพื้น 10% หรือกระทั่งกำแพงภาษีรถยนต์ 25%เช่นเดียวกับยุโรป ที่ยังไม่รู้ว่าจะลงเอยเช่นไร เพราะการเจรจาได้ไปถึงจุดที่ต่างฝ่ายจ้องจะเล่นงานจุดอ่อน สหรัฐฯขู่เรื่องสินค้าสุรายุโรป และยุโรปขู่เรื่องการเก็บภาษีย้อนหลังบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯจึงเป็นคำถามสำคัญว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว จะเลือกไปทางไหน ถ้าไปสาย “หนักแน่น” แล้วจะมีอะไรมาใช้เป็นแต้มต่อรอง แต่ถ้าไปสาย “รับสภาพ” แล้วจะถูกกำหนดอัตราภาษีที่เท่าไรเท่าที่ได้ยินมาคือ ประเทศไทยอาจถูกกำแพงภาษีทรัมป์ที่ 25% เรื่องนี้จริงหรือไม่เพราะรัฐบาลเงียบเหลือเกิน และถ้าโดนอัตรานี้เข้าจริงๆ เศรษฐกิจจะไหวหรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวล.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม