กองกำลัง BGF คุมตัวแก๊ง สแกมเมอร์ ในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง เมียนมา ส่งให้ทางการจีนนำกลับประเทศลอตสุดท้ายอีก 3 เที่ยวบิน รวม128 คน มีทหารประกบคุมเข้ม ก่อนพาขึ้นเครื่องบินจากสนามบินนานาชาติแม่สอด ด้านผู้นำกะเหรี่ยง DKBA ประกาศยุติช่วยเหลือคนต่างชาติในพื้นที่หลังประสบปัญหามาเป็นภาระให้ดูแลด้านการกินอยู่ ห่วงที่ตกค้างกว่า 400 คน อาจหลบหนีลักลอบเข้าไทย ขณะที่ “ภูมิธรรม” โวรัฐบาลแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาถูกทาง ส่วน ผบช.ภ.2 เตือนโรงแรม-โชเฟอร์ อย่าหากินกับบัญชีม้า มิจฉาชีพ ล่าสุดศาลสั่งจำคุก เจ้าของโรงแรมเถื่อน 3 เดือน ปรับอ่วม 5.5 ล้านบาทหลังจากทางการจีนนำเครื่องบินสายการบิน China Southern Airlines มารับตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด จ.ตาก กลับประเทศไปแล้วสองระลอก และในวันที่ 22 ก.พ.เป็นระลอกสุดท้ายอีก 3 เที่ยวบินทหารประกบตัวต่อตัวผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 22 ก.พ.กองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF ควบคุมชาวจีนทั้งหมด เป็นแก๊งสแกมเมอร์ ในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา โดยมีทหารเฝ้าประกบไม่ให้คลาดสายตา ป้องกันการหลบหนี มายังบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 (ฝั่งเมียนมา) ตั้งอยู่บริเวณบ้านวังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู มารับตัวแบบประกบ 1 คน ต่อเจ้าหน้าที่ 1 คน พาตัวเข้าไปในห้องปฏิบัติการด้านในให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)ตรวจสอบ ดำเนินการตามขั้นตอนของพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และนำคนต่างด้าวไปลงข้อมูลในระบบไบโอเมตริกซ์ของ สตม.เป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ภายหลังเมื่อเสร็จขั้นตอนต่างๆ จึงนำชาวจีนแต่ละชุดไปยังท่า อากาศยานนานาชาติแม่สอด ด้วยรถบัส มีเจ้าหน้าที่ทหารประกบคนต่อคน และรถตำรวจ สภ.แม่สอด นำและปิดท้ายขบวนส่งกลับเที่ยวแรก 50 คนทั้งนี้ ลอตแรกที่ออกเดินทางมีจำนวน 50 คน จากนั้นเที่ยวบินแรกมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด จ.ตาก เวลา 10.45 น. และออกเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด ในเวลา 11.15 น. ทันทีที่เครื่องบินลงจอด มีการนำบันไดไปเทียบที่ประตูทางขึ้นเครื่อง และเคลื่อนรถบัสที่มีชาวจีนอยู่คันละ 25 คน เพื่อที่จะทยอยลงจากรถบัส และมีการตรวจสแกนอาวุธ และโลหะจากเจ้าหน้าที่จีน ที่เดินทางมาพร้อมกับเครื่องบิน ก่อนจะให้เดินขึ้นเครื่องทีละคนจีนรับกลับ 3 เที่ยวบินสำหรับ 3 เที่ยวบิน ที่มารับชาวจีนจากท่าอากาศ ยานนานาชาติแม่สอด เพื่อกลับประเทศ ประกอบด้วย เที่ยวบินที่ CSN2981 เข้าเวลา 10.40 น./ออกเดินทางเวลา 11.40 น. เที่ยวบินที่ CSN2983 เข้าเวลา 11.40 น. ออกเดินทางเวลา 12.40 น. และเที่ยวบินที่ CSN2985 เข้าเวลา 12.40 น. ออกเดินทางเวลา 13.40 น. จำนวนที่ส่งกลับ 128 คน รวม 3 วันที่ทางการจีนส่งเครื่องบินมารับคนของประเทศตัวเองกลับ 13 เที่ยวบิน จำนวนทั้งสิ้น 628 คนDKBA โอดแบกภาระดูแลเหยื่อด้านสถานการณ์ชาวต่างชาติที่อยู่ในการควบคุมดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA (กะเหรี่ยงพุทธ) และกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF ตามแนวชายแดนไทย ด้านจังหวัดตาก มีรายงานว่ายังคงเป็นปัญหา สำหรับการควบคุมดูแล โดยเฉพาะเรื่องอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค หลังมีการเข้าไปช่วยเหลือมาแล้ว โดยกะเหรี่ยง DKBA ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากพบปัญหาในการดูแลเลี้ยงดูชาวต่างชาติที่ไปช่วยเหลือออกมา ทำให้ผู้นำกะเหรี่ยง DKBA ต้องประกาศขอยุติการช่วยเหลือคนต่างชาติในพื้นที่ก่อนน่าห่วงหลบหนีเข้าไทยทั้งนี้ พลจัตวาไซจ่อ หล่าย ประธานองค์กรกะเหรี่ยง DKBA ที่มีกองบัญชาการฝั่งเมียนมา เขตทางใต้จังหวัดเมียวดี ตรงข้ามบ้านช่องแคบ ตำบลช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมียนมาว่า ขณะนี้มีชาวต่างชาติอยู่ในการดูแลของฝ่าย DKBA จำนวน 405 คน เป็นปัญหาการดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และน้ำใช้ เนื่องจากมีจำนวนมาก ขณะที่ทางการไทยและทางสภาบริหารทหารเมียนมาก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรต่อไป เป็นห่วงว่าการควบคุมคนจำนวน มากที่ไม่ใช่นักโทษ อาจทำให้คนพวกนี้หนีข้ามไปฝั่งประเทศไทยได้ และหากหนีไปจริงจะเป็นอันตรายกับไทย แต่ฝ่าย DKBA ยังยืนยันที่จะปราบปรามบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่รับผิดชอบให้หมดไปภายใน 3 เดือนนี้ชี้สมัครใจมาแต่ถูกเบี้ยวค่าจ้างพลจัตวาไซจ่อ หล่าย กล่าวอีกว่า แต่การเข้าไปทำงานของคนต่างชาติในพื้นที่ฝั่งเมียนมา เท่าที่ทราบเป็นความสมัครใจมากกว่าการถูกหลอกลวง และตกลงไปทำงานแล้ว การจ่ายค่าจ้างแรงงานไม่เป็นไปตามข้อตกลง เช่น ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ 1,200 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จ่ายจริงได้เดือนละ 8,000 บาท และมีการทรมาน ทำร้ายร่างกาย หรือเป็นการค้ามนุษย์มีการขายตัวลูกจ้างไปให้อีกบริษัทหนึ่ง เป็นต้น“ภูมิธรรม” ลั่นไม่หยุดปราบแก๊งคอลวันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยดำเนินมาตรการเชิงรุกภายใต้ความร่วมมือกับจีนและเมียนมา ผ่านแผนปฏิบัติการ “ตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน” ใน 5 จุดสำคัญสามารถสกัดกั้นขบวนการเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และประสานงาน รมว.ป้องกันประเทศของ สปป.ลาว ช่วยกันปราบปรามยาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันการย้ายฐาน และยังสั่งการให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตรจเรตำรวจแห่งชาติ ไปร่วมประชุมวางแผนกับสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติประเทศกัมพูชา พล.ต.อ.ธัชชัยรายงานข้อสรุปการประชุมทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่ 1.ร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป ตำรวจไทยขอนำตัวคนไทยกลับมาลงโทษตามกฎหมายไทย 2.ร่วมกันช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ และ 3.ให้มีการประสานงานร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อความรวดเร็วในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปโวแก้ปัญหามาถูกทางนายภูมิธรรมโพสต์ด้วยว่า การแก้ไขปัญหานี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องทั้งกฎหมาย อาชญากรรมข้ามชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ มีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาชนคนไทยให้พ้นจากเครือข่ายมิจฉาชีพ เราได้ลงมือทำจริง และวันนี้ผลลัพธ์เริ่มปรากฏชัดเจนว่าการแก้ไขปัญหานี้เราเดินมาถูกทาง รัฐบาลจะเดินหน้าต่อไป เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากการถูกหลอกลวง และขอให้มั่นใจได้รัฐบาลจะไม่หยุดปฏิบัติการจนกว่าปัญหานี้จะหมดไปโฆษก รบ.ขอบคุณโพสต์ชมนายกฯขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากผลสำรวจความเห็นประชาชนถึงการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาล พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลมีความตั้งใจ สามารถแก้ปัญหาได้ถูกทางผ่านมาตรการต่างๆ และการสั่งการที่ชัดเจนรวดเร็ว เด็ดขาด จริงจังของนายกฯ ประชาชนยังขอให้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติม เพื่อกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปนั้น ต้องขอขอบคุณที่ชื่นชมนายกฯ รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ปัญหาให้หมดไปอย่างจริงจัง และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล และเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมในทุกมิติ ทั้งการค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติดและที่สำคัญแก้ไขปัญหาปากท้องเตือนช่วยคนร้ายมีโทษหนักด้าน พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 2 เดินหน้ายุทธการ “อรัญ 68 Seal Border” อย่างต่อเนื่อง ตาม 7 มาตรการเข้มปราบปรามต่างด้าวทำผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีปฏิบัติการกวาดล้างกดดันขบวนการพาคนข้ามแดนเพื่อไปเป็นบัญชีม้า ทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ติดชายแดน จ.สระแก้ว จันทบุรี และตราด อย่างเข้มข้น ช่วยเหลือเหยื่อ จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก และขอเตือนผู้ประกอบการโรงแรม ที่พักทุกรูปแบบ โดยเฉพาะโรงแรมเถื่อน ห้ามให้ที่พักพิงแก่บุคคลที่ครอบครองและใช้บัญชีฝากของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) แก๊งอาชญากรคอล เซ็นเตอร์ รวมทั้งผู้ขับขี่รถรับจ้าง ห้ามรับงานนำพาบัญชีม้า-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปส่งยังชายแดน เพราะเท่ากับให้การสนับสนุนช่วยเหลือขบวนการคอลเซ็นเตอร์เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ มีโทษตามกฎหมายทั้งจำคุก และปรับ มีคดีตัวอย่างที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับมากกว่า 5 ล้านบาทคุก 3 เดือนปรับกว่า 5.5 ล้านผบช.ภ.2 กล่าวว่า ล่าสุดกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว สืบสวนพบเกสต์เฮาส์ใน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ให้ที่พักพิงแก่บัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เข้าจับกุมดำเนินคดี เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ล่าสุดศาลจังหวัดสระแก้วตัดสินลงโทษเจ้าของโรงแรมเถื่อนใน อ.อรัญประเทศ ที่ให้ที่พักพิง ศาลพิพากษาลงโทษนายเอ (นามสมมติ) อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาในคดีโรงแรมเถื่อน ดังนี้ จำคุก 3 เดือน (รอลงอาญา 2 ปี) ปรับ 5,000 บาท และปรับเพิ่มวันละ 1,000 บาท ตั้งแต่วันฝ่าฝืนจนถึงวันฟ้อง (5,528 วัน) เป็นเงินรวม 5,528,000 บาท ยังต้องปรับอีกวันละ 1,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ นอกจากนี้ ยังดำเนินคดีกับผู้ขับรถรับจ้างนำพาบัญชีม้า 5 ราย เบื้องต้นฐานขับรถสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตชี้ข้อ ก.ม.ผิดหลายกระทงพล.ต.ท.ยิ่งยศกล่าวว่า โรงแรม เกสต์เฮาส์ที่ให้ที่พักพิงมิจฉาชีพออนไลน์ อาจเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 ม.15 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบกิจการโรงแรม เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ม.59 ผู้ใดฝ่าฝืน ม.15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน ม.35 ผู้จัดการต้องจัดให้มีการบันทึกรายการต่างๆเกี่ยวกับผู้พักและจำนวนผู้พักในแต่ละห้อง ลงในบัตรทะเบียนผู้พัก ม.56 ผู้จัดการไม่ปฏิบัติตาม ม.35 ต้องระวางโทษปรับทางปกครอง ตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ม.7 ในความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ใดสนับสนุนการกระทำผิด หรือช่วยเหลือผู้กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด จัดหาหรือให้เงิน หรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้กระทำผิดหลบหนี หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ ม.60 ผู้ใดกระทำผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี ปรับ 20,000 ถึง 200,000 บาท ม.61 นิติบุคคลกระทำผิดตาม ม.7 ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 1,000,000 บาท ขอเตือนผู้ประกอบการอย่าปล่อยให้โรงแรมหรือที่พักกลายเป็นแหล่งซ่อนตัวของอาชญากร หากพบเห็นพฤติกรรมต้องสงสัย แจ้งตำรวจทันทีได้ทางสายด่วน 191 หรือ1599 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางเพจเฟซบุ๊กตำรวจภูธรภาค2รับการค้าชายแดนซบเซาในช่วงเย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายบรรพต ก่อเกียรติเจริญ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าจังหวัดตาก ถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจหลังรัฐบาลออกมาตรการกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า เศรษฐกิจในพื้นที่ได้รับผลกระทบ จากที่ฟังเสียงผู้ประกอบการเอกชนบอกว่าการค้าขายเงียบไป เพราะข่าวที่ออกไปทำให้ดูเหมือนในพื้นที่อำเภอแม่สอดกลายเป็นสีเทาไปด้วย ส่วนการค้าชายแดนซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด แม้สินค้ายังคงข้ามแดนได้ปกติแต่ขายได้น้อยลง อาจเป็นเพราะการขนถ่ายสินค้า และปัญหาภายในประเทศเมียนมาเอง โดยหลังมาตรการกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปกติเขาซื้อน้ำมันทั้งดีเซล เบนซินจากเรา ซึ่งน้ำมันเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ส่วนที่สองคือรถขนถ่ายสินค้า ที่จะส่งจากเมียวดีเข้าไปยังเมืองชั้นใน จำเป็นต้องใช้รถบรรทุกฝั่งเมียนมาในการขนถ่ายสินค้า และประชาชนที่อยู่ตลอดแนวชายแดนทั้งไทยและเมียนมาได้รับผลกระทบขาดน้ำมันเชื้อเพลิง ขาดไฟฟ้า ต้นทุนน้ำมันแพงขึ้น ตอนนี้ฝั่งเมียนมามีเสียงมาว่าได้รับผลกระทบน้ำมันแพงขึ้น รวมถึงโรงพยาบาล ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนอยากให้ รบ.ทบทวนมาตรการนายบรรพตกล่าวอีกว่า การปฏิบัติการชุดแรกถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ในฐานะคนในท้องถิ่นอยากให้ดำเนินการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดำเนินการในครั้งเดียว ครั้งนี้ถือว่าทำวิกฤติเป็นโอกาส โดยเฉพาะจีนลงมาร่วมมือ เพราะมีคนของเขาที่มาสร้างความเสียหายนอกราชอาณาจักร และส่งผลกระทบไปทั่วโลก ก็น่าดีใจที่รัฐบาลเมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมมือกัน ในการปฏิบัติตามที่ไตรภาคีได้พูดคุยกัน คิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และอยากเห็นในอนาคตความร่วมมือเหล่านี้ควรเกิดขึ้น และชายแดนจะได้ปกติสุข เป็นผลดีกับประชาชนทั้งสองฝั่ง ส่วนการทบทวนมาตรการกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาล หากทบทวนได้เป็นผลดีอยู่แล้ว ความจริงเราเป็นแค่ทางผ่าน และมีคนของเราไปร่วมน้อยมาก อย่างในพื้นที่ชเวโก๊กโก่ และพื้นที่อื่นๆ ส่วนตัวอยากให้คุยแบบไตรภาคี เพื่อทำเศรษฐกิจร่วมไทย เมียนมา และจีนที่มีทุนหนา คิดว่าทุกฝ่ายน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าที่จะปล่อยไว้ในสภาพแบบนี้ และอยู่ในลักษณะที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บริหารที่แท้จริงอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่