“หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงฯ จีน ลุยเมียนมาตรวจสถานที่ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้ามแดนมาไทยก่อนส่งต่อกลับประเทศ โดยนำเครื่องบินมารับที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอดลอตแรกคาดไม่เกิน 500 คน ขณะที่ “โรม” บินถกหน่วยเฉพาะกิจราชมนูแก้ปัญหาแก๊งคอลฯ-ค้ามนุษย์ พร้อมให้กำลังใจในการต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้านตำรวจไซเบอร์ยืนยันต่างชาติ 260 คนที่ถูกส่งกลับจากเมียนมา มีเพียง 1 คนเป็นเหยื่อ ที่เหลือสมัครใจไปเองหลังจากไทยเปิดปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา ด้วยการตัดกระแสไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต รวมถึงระงับการส่งน้ำมันเชื้อเพลิงใน 5 จุดในจังหวัดเมียวดี ติดชายแดนไทย พื้นที่ จ.ตาก และเมืองพญาตองซู ติดชายแดน จ.กาญจนบุรี มาตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 16 ก.พ. พบว่าทางการเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่ม DKBA และ BGF ที่ดูแลพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษในเมียวดีและพญาตองซู ได้ให้ความร่วมมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนสามารถช่วยเหลือเหยื่อได้จำนวนมากและเตรียมส่งตัวมาที่ไทยทั้งนี้ เมื่อช่วงสายผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ เดินทางไปที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 จังหวัดตาก โดยมี พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รักษาการผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก นำดูสถานที่ ซึ่งเป็นจุดที่จะรับตัวชาวต่างชาติจากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา เข้าสู่ขั้นตอนการส่งต่อระดับชาติหรือ NRM ของประเทศไทย ซึ่งนายหลิว จงอี้ สอบถามถึงขั้นตอนการรับคนซึ่งจะเป็นชาวจีน ที่ขณะนี้ทางการเมียนมารวบรวมรายชื่อชาวจีนในเมืองชเวโก๊กโก่ พร้อมส่งตัวผ่านทางประเทศไทยแล้ว มีทั้งกลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์และที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF ตรวจค้นอาคารต่างๆในเมืองชเวโก๊กโก่ สามารถรวบรวมคนได้ประมาณ 1,000 ในจำนวนนั้นกว่าครึ่งหนึ่งเป็นคนจีนนอกจากนี้ นายหลิว จงอี้ ยังได้ตรวจดูทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด และแจ้งว่าในเบื้องต้นจะรับตัวชาวจีนกลับสู่ประเทศจีนด้วยวิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 คือนำเครื่องบินจีนมารับที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด สำหรับแนวทางขั้นตอนสามารถรองรับคนได้ 200-300 คน และเต็มที่ไม่เกิน 500 คนต่อวันต่อมาคณะเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เข้าสู่พื้นที่ของประเทศเมียนมา โดยมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายเมียนมามาอธิบายถึงจุดการรับส่งคนว่าจะต้องผ่านขั้นตอนอย่างไรบ้าง หลักสำคัญคือจะต้องผ่านการตรวจสอบของประเทศเมียนมาด้วย ซึ่งนายหลิว จงอี้ ได้ตรวจดูสถานที่ด้วยตัวเองก่อนจะเดินทางข้ามกลับมาฝั่งประเทศไทยส่วนที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจราชมนู จ.ตาก เมื่อเวลา 11.30 น.นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคปชน. ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำคณะร่วมประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา กับผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู โดยมี พล.ต.ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร กล่าวให้การต้อนรับ โดยนายรังสิมันต์กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีขนาดเติบโตอย่างมาก สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อมิติการท่องเที่ยว กว่าจะปราบปรามได้ก็นำมาซึ่งความสูญเสียจำนวนมาก ตนและ กมธ.ติดตามเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน อยากจะให้กำลังใจทุกท่านต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เราคงต้องช่วยกัน กมธ.เราอาจจะอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เราก็พยายามจะสนับสนุน จุดไหนที่เป็นช่องโหว่ช่องว่างเราก็พร้อมจะประสานงานเพื่อแก้ปัญหาต่อไปด้าน พล.ต.ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร กล่าวว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานที่ผ่านมา เราเป็นหน่วยป้องกันชายแดนจำนวน 993 กิโลเมตร โดยได้รับคำสั่งจากกองทัพบกเป็นหลัก ซึ่งในห้วงเวลาที่ผ่านมา เป็นที่ปรากฏเรื่องภัยคุกคามต่างๆ ที่เกิดจากความเชื่อมโยงกันของการสู้รบ และความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงภัยคุกคามที่ปรากฏอยู่ตามที่ทุกท่านได้ทราบ ซึ่งกองกำลังเฉพาะกิจราชมนูได้ปฏิบัติตามข้อสั่งการอย่างเคร่งครัดทั้งนี้ มีรายงานว่าเมื่อกลางดึกวันที่ 15 ก.พ. ทหารกองร้อย 421 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดทหารพรานที่ 36 จับกุมคนไทย 2 คน ชาวเมียนมา 1 คน คือ นายเจษฎา มิ่งไพรเวช อายุ 41 ปี นางสาวทูนู่นพร อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมา และนางสาวอารายา คีรีอมรรัตน์ อายุ 20 ปี ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ ต.พบพระ อ.พบพระ ขณะกำลังผลักถังน้ำมันเหล็ก ขนาด 200 ลิตร จำนวน 4 ถัง ที่บรรจุน้ำมันดีเซลรวม 800 ลิตร ลงบริเวณริมแม่น้ำเมย บริเวณ บ.หมื่นฤาชัย ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก ทั้ง 3 รายรับสารภาพว่าลักลอบนำน้ำมันส่งไปขายยังเมียนมาที่ขาดแคลนน้ำมันและมีราคาแพงกว่าฝั่งไทยเกือบ 10 เท่า ทหารจึงได้ควบคุมตัวทั้ง 3 คน ส่ง สภ.พบพระ เพื่อดำเนินคดีต่อไปส่วนที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 ก.พ. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการคัดกรองเหยื่อการค้ามนุษย์จากประเทศเมียนมา ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านว่า ยืนยันหากพูดคำว่าทางผ่าน จะเหมือนเราปล่อยปละละเลย เหมือนเรายินยอมให้นำคนไปทำงานฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่างล่าสุดชาวต่างชาติ 260 คน ที่ได้รับการช่วยเหลือเดินทางกลับมายังประเทศไทย เราส่งตำรวจไซเบอร์ไปช่วยซักถามคัดกรอง ส่วนใหญ่มาจากทวีปแอฟริกา พบว่าคนที่ถูกหลอกไปเพียง 1 คน ส่วนที่เหลือสมัครใจไป คือต้องยอมรับก่อนว่าประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นของโลก มีทางคมนาคมที่ดีที่สุด มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ดี บนป่าเขายังสื่อสารได้ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่อาชญากรออนไลน์ชอบ เมื่อเราเป็นประเทศที่เดินทางไปมาสะดวก จึงทำให้ที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่อย่างสบาย แทบเป็นรัฐอิสระ ต้องยอมรับว่าพวกนี้ตั้งอยู่รอบประเทศเรา จึงเกิดการตั้งคำถามว่า ถ้าไม่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อลักลอบเดินทางต่อ เขาจะเดินทางต่ออย่างไร คำว่าทางผ่านที่หมายถึงคือการลักลอบ หลอกเรา 1 คนที่ถูกหลอกไปเราก็พยายามช่วยเหลืออยู่แล้ว ส่วนที่เต็มใจไปเราต้องพยายามป้องกัน แต่คุณก็หลอกเจ้าหน้าที่ด้วยว่าเป็นนักท่องเที่ยว เขาบอกอะไรคุณก็ทำทุกอย่างเลย เมื่อเข้าไปทำงานแล้วอยากกลับ ยังกลับไม่ได้ เพราะต้องทำงานให้จบก่อน แต่พอซักถามจริงๆ ก็เป็นแบบนี้ เราจึงเป็นประเทศที่คุณเดินทางเข้ามาแล้วคุณต้องลักลอบไปฝั่งโน้นให้ได้พล.ต.ท.ไตรรงค์ระบุถึงการคัดกรองแยกเหยื่อกับคนที่สมัครใจว่า ถ้ามีการบังคับต้องตรวจสอบ ซึ่งในส่วนนี้เป็นในส่วนของคณะทำงานร่วมกัน โดยมีทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเจ้าภาพหลักไปร่วมตรวจสอบ ยืนยันว่ามีเหยื่อเพียง 1 คน ส่วนที่เหลือรู้แล้วว่าต้องข้ามไปทำงานที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านวันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “War on Scam Gang” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานในเมียนมาจากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตและระงับการส่งออกน้ำมัน เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 70.54 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 21.07 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 5.34 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ด้านมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมันกับการช่วยแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 60.92 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง รองลงมา ร้อยละ 17.71 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก ร้อยละ 15.95 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก และร้อยละ 5.42 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลยสำหรับการมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางคนพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 69.85 ระบุว่า มีแน่นอน รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่แน่ใจ และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มี และท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผู้ที่ทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาถูกหลอกหรือสมัครใจ มากกว่ากัน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 49.77 ระบุว่า น่าจะมีจำนวนพอๆกันทั้งคนที่ถูกหลอกและเต็มใจไปทำงาน รองลงมาร้อยละ 25.80 ระบุว่า ส่วนใหญ่ไปทำงานด้วยความเต็มใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ส่วนใหญ่ถูกหลอกไปทำงาน และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่แน่ใจอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่