ต้องยอมรับการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจากกลุ่มผู้กระทำผิดนั้นมีเครือข่ายกว้างขวางที่สำคัญมีเงินลงทุนก้อนใหญ่มากกว่างบประมาณแต่ละปีของไทยเสียอีกทำไมรัฐบาลจีนจึงจัดการปัญหาได้และได้แนะนำวิธีการต่างๆให้ไทย ก็เพราะได้เจอปัญหานี้มาแล้วคือ “จีนหลอกจีน” ด้วยกันเอง และได้ข้ามเข้ามาตั้งศูนย์ในประเทศเมียนมาแต่การแก้ไขปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆต้องเอาจริงเอาจังและเด็ดขาด การตัดไฟ น้ำมันและอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นจากการที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการเบื้องต้นไปนั้นก็ต้องดูผลว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่อย่างน้อยในพื้นที่ 5 จุดนั้นก็ได้สร้างความปั่นป่วนในพื้นที่อย่างชัดเจน เพราะทำให้เกิดความยากลำบากในการดำเนินชีวิต เพราะทุกอย่างเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันแม้จะมีการเตรียมแผนรองรับไว้บ้างเครื่องปั่นไฟ กักตุนน้ำมัน หรือบางจุดได้ขอซื้อไฟฟ้าจากประเทศอื่น อย่างที่ท่าขี้เหล็กฝั่งตรงข้ามกับเชียงรายที่ได้ขอซื้อไฟฟ้าจากลาวแต่ภาพรวมทั้งหมดถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง!มาตรการที่จะต้องเดินหน้าต่อไปก็คือพื้นที่อีกฝากหนึ่งในฝั่งตะวันออก คือลาวและกัมพูชา ซึ่งแก๊งอาชญากรรมเศรษฐกิจยังคงดำเนินงานต่อไปจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเจรจากับรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งน่าจะง่ายกว่าเมียนมา เพราะมีอำนาจควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมดโดยเฉพาะที่ปอยเปตซึ่งรัฐบาลน่าจะรู้จุดว่าตรงไหนที่แก๊งพวกนี้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ “ทักษิณ ชินวัตร” เคยบอกใบ้มาแล้วอีกทั้งรัฐบาลชุดนี้ก็สนิทสนมกับผู้นำกัมพูชาเป็นอย่างดีก็ต้องเร่งดำเนินการเพราะการแก้ไขปัญหานี้ต้องปิดทุกจุดเพื่อไม่ให้ดำเนินการได้จึงจะทำให้แก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ...ที่น่าจะพูดถึงก็คือการผลักดันให้รัฐบาลตัดสินใจตัดไฟนั้นต้องชม “รังสิมันต์ โรม” รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ ที่ได้เบาะแสและมีข้อมูลอย่างชัดเจนได้เสนอรัฐบาลให้ตัดไฟเป็นคนแรกอย่างเอาการเอางานรวมถึงการนำข้อมูลต่างๆมาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้แรกๆรัฐบาลก็ไม่ได้สนใจนักถือว่าเป็นเรื่องของ “เด็ก” จึงไม่ใส่ใจ กลัวจะ “คบเด็กสร้างบ้าน” เพราะไม่เชื่อน้ำยาแต่เมื่อข้อมูลและข้อเสนอต่างๆนั้นค่อนข้างชัดเจนและมองเห็นลู่ทางที่จะแก้ปัญหาได้จึงรับข้อเสนอนี้และเอาจริงเอาจัง!แต่ก็มาเกิดปัญหาที่ต่างฝ่ายต่างทำต่างฝ่ายต่างคิด ไม่ได้มีการรวมศูนย์เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันพูดง่ายๆโยนกันไปโยนกันมาก็ต้องโทษนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ทำหน้าที่ผู้นำในการแก้ไขปัญหาจึงเกิดความขัดแย้งในวิธีปฏิบัติทั้งๆที่เรื่องนี้น่าจะได้คะแนนเต็มๆ สร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนว่ามีความเป็นผู้นำที่ปรากฏให้เห็นได้แต่มาแสดงออกเมื่อตลาดวายไปเสียแล้วด้วยการทำหน้าที่ฝ่ายค้านของ “รังสิมันต์ โรม” ในครั้งนี้น่าจะเรียกคะแนนให้พรรคได้มากพอสมควรเพราะเป็นการแสดงภาวะความเป็นนักการเมืองที่ศึกษาและติดตามเรื่องราวอย่างเกาะติดและนำเสนอทางออกที่รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้แม้ไม่ใช่เรื่องการทุจริตแต่ก็เป็นเรื่องการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม