“พิธา” แพ้โหวตยกแรก เสียงเห็นชอบได้แค่ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง ไม่ผ่านเกณฑ์ 375 เสียง เช็กยอด ส.ส.สองขั้วไม่มีแตกแถว 159 ส.ว.แห่โนโหวต 43 คน หายไม่ร่วมลงคะแนน “ส.ว.-ขั้วรัฐบาลลุงตู่” รุมขย่มไม่เหมาะนั่งนายกฯ แก้ ม.112 สุมไฟแตกแยก “กิตติศักดิ์” ชี้ ส.ว.ปิดสวิตช์ก้าวไกลภัยใหญ่หลวงของประเทศ “ประพันธ์” เฉ่งดึงดันเสนอชื่อไม่ชอบ ชงผู้มีคุณสมบัติต้องห้าม ขัดรัฐธรรมนูญ มิบังควรนำขึ้นทูลเกล้าฯ “ชาดา” จวกเลิกหลงระเริง 14 ล้านเสียง ฮึ่มอยากออกกฎหมายยิงคนหมิ่นสถาบัน “วิทยา” โวยหยุดข่มขืนสภาฯ ยก 17 พรรค-ส.ว.ไม่เห็นด้วย “พิธา” โต้ใช้ศาลเตี้ยในสภาฯไม่ได้ ลั่นไม่ยอมแพ้ลุยรวมเสียงรอบ 2 แฉ ส.ว.ถูกกดดันหนักกว่า 40 คนไม่มาประชุม ขอบคุณ 13 ส.ว.ผู้กล้าโหวตคืนความปกติให้การเมืองไทยหลังจากประชาชนเฝ้ารอการเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 มานาน 2 เดือน ที่ประชุมรัฐสภาได้เริ่มกระบวนการโหวตเลือกนายกฯในรอบแรก โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ก.ก.เป็นผู้ถูกเสนอชื่อเพียงคนเดียว “กิตติศักดิ์” ลั่นปิดสวิตช์ ก.ก.ภัยประเทศเมื่อเวลา 07.10 น. วันที่ 13 ก.ค. ที่รัฐสภา นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนการโหวตเลือกนายกฯว่ายังเหมือนเดิม สถานการณ์ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนต้องตัดสินใจอย่างอื่น ตนยังยืนยันเหมือนเดิม ถ้าบ้านเมืองจะมีนักการเมืองที่มาสร้างความแตกแยก หนุนให้เด็กและเยาวชนไปทำผิดกฎหมาย ละเมิดมาตรา 112 ไม่ควรเป็นรัฐบาลอย่างยิ่ง การโหวตของ ส.ว. 250 คน ทุกคนมีคำตอบเรียบร้อยแล้ว คือการปิดสวิตช์ ส่วนใหญ่จะงดออกเสียงยกเว้นตน เห็นพฤติกรรมชัดเจน แตะต้ององค์กรอิสระ ทหาร ตำรวจ รวมถึงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นภัยใหญ่หลวงของประเทศ จะสร้างความเสียหายให้ประเทศมากมาย ทำไมต้องไปเทข้างให้อเมริกา ไม่คิดถึงใจจีน รัสเซียและซาอุดีอาระเบียที่เราเพิ่งจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกลับคืนมาเหน็บจับตา 19 ก.ค.เลือดท่วมจอเมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศว่าถ้านายพิธาไม่ผ่านจะวุ่นวาย นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า ขอให้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้ากลัวและไม่กล้าตัดสินใจ ไม่มาเป็น ส.ว. กลับไปเลี้ยงหลานดีกว่า เชื่อว่ามี ส.ว.ไม่ถึง 10 คน คนที่สนับสนุนนายพิธา ขอให้จับตาวันที่ 19 ก.ค.สนุกสนานเลือดท่วมจอแน่นอน ขอให้คอยดูที่พูดคือละครนะ ไม่ห่วงว่าต้องลงเรือหนีอีก เตรียมรองเท้าผ้าใบมาแล้ว จะถอดเครื่องแบบหนีไปกับสื่อ เชื่อว่าวันที่ 19 ก.ค.ทุกอย่างจะจบ ได้ว่าที่นายกฯ ใครจะเป็นพระเอก เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย หรือเพศที่สาม แต่จะถูกใจประชาชนหรือไม่ตนไม่ทราบ ส.ว.ไม่ได้ก้าวก่ายการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อขั้นตอนมาถึง ส.ว. เราต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ การประชุมคงไม่เลื่อน มีเลือกนายกฯ แน่นอน แต่อาจไม่จบ ถึงบอกว่าให้รอดูวันที่ 19 ก.ค.“เนาวรัตน์” ขอใช้สิทธิงดออกเสียงวันเดียวกัน นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส.ว.ส่งข้อความผ่านไลน์ห้องประชาสัมพันธ์วุฒิสภาถึงสื่อมวลชนแจ้งถึงแนวทางการโหวตนายกฯในวันที่ 13 ก.ค.ว่า ขอยืนยันเจตนารมณ์ที่เคยอภิปรายในสภาฯไว้แล้วว่า สมาชิกวุฒิสภาไม่ควรมีสิทธิเลือกนายกฯ จึงขอใช้สิทธิ “งดออกเสียง” ในการเลือกนายกฯชทพ.เกาะขบวนงดออกเสียงนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า คนที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯต้องมีความโปร่งใสและชัดเจนในระดับหนึ่ง ขณะที่นายเสมอกัน เที่ยงธรรม ส.ส.สุพรรณบุรี ในฐานะโฆษกพรรค ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ส.ส.พรรคว่า พรรคไม่สามารถมีมติพรรคได้ แต่เห็นพ้องกันว่าจะงดออกเสียง หัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคย้ำจุดยืนที่จะไม่แตะมาตรา 112 และคำนึงถึงเสียงที่อาจไม่มากพอให้ชนะได้ แต่คำนึงถึงเสียงที่สนับสนุนพรรคมาปชป.ยันไม่ให้คะแนน “พิธา”นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า พรรค ปชป.จะงดออกเสียงโหวตเลือกนายกฯ มีจุดยืนชัดเจนไม่ยกเลิกและแก้มาตรา 112 ชัดเจนจะไม่ลงคะแนนให้ และไม่จำเป็นต้องเลื่อนโหวตนายกฯออกไป สมาชิกรัฐสภาใช้ดุลพินิจตัดสินใจได้ ส่วนการชุมนุมทำได้ ถ้าทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธ คนส่วนใหญ่อยากเห็นความเรียบร้อยเกิดขึ้น ส่วนการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จะมีขึ้นวันที่ 23 ก.ค. “ธนกร”ซัดไม่ได้เก้าอี้อย่าป่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า พรรคยืนยันจุดเดิมไม่สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯพรรค ก.ก.เป็นนายกฯ และไม่สนับสนุนพรรค ก.ก.เพราะมีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 ไม่อยากให้บรรยากาศหวนไปสู่เหมือนเดิม บ้านเมืองเดินมาไกลมากแล้ว เห็นบรรยากาศการชุมนุม เหมือนว่าถ้าท่านไม่ได้เป็นนายกฯแล้วบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ ไม่เหมาะสม เราเดินมาตามรัฐธรรมนูญ จะทำอะไรต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หากไม่ได้แล้วเอาประชาชนเป็นตัวประกันมันไม่ควร“ทิม” ขออย่าโยงคดีในศาลกับการโหวตนายปารมี ไวจงเจริญ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก.ให้สัมภาษณ์ว่า ส.ส.หญิงพรรค ก.ก.นัดหมายทางไลน์กลุ่ม แต่งกายชุดสีส้ม มาโหวตนายกฯ แสดงออกทางสัญลักษณ์ ส่วน ส.ส.ผู้ชายนัดกันผูกเนกไทสีส้ม วันนี้ส้มทั้งแผ่นดินขอเชิญประชาชนทุกคนร่วมส่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.และแคนดิเดตนายกฯ เป็นนายกฯขณะที่นายพิธากล่าวก่อนการประชุมรัฐสภาว่าจะพยายามทำให้เต็มที่สมกับความหวังและกำลังใจที่ประชาชนมีให้ เท่าที่ฟังวิป 3 ฝ่ายโอกาสไม่มีที่จะเลื่อนการประชุมไป น่าจะราบรื่น เรื่องถือหุ้นสื่อศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาในส่วนของธุรการ ส่วนมาตรา 112 เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นดุลพินิจของศาลที่ยังมีเวลา คงจะแยกไม่เกี่ยวข้องกันเกี่ยวกับกระบวน การในรัฐสภา ประชาชนรอมา 2 เดือน ควรรีบจัดการให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เปิดประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯต่อมาเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาโหวตเลือกนายกฯบรรยากาศคึกคัก ส.ส. และ ส.ว.ทยอยเข้าร่วมต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้า ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศมาปักหลักทำข่าวแน่นขนัด มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจระเบิดเข้าตรวจวัตถุต้องสงสัยในห้องประชุมรัฐสภา หลังสมาชิกเซ็นชื่อครบองค์ประชุมแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานที่ประชุมสั่งเปิดประชุมรัฐสภา มีจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 749 คน จาก 750 คน เนื่องจาก น.ส.เรณู ตังคจิวางกูร ส.ว.มีหนังสือแจ้งความประสงค์ต่อประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ค.66 ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ทำให้เหลือสมาชิกรัฐสภา 749 คนเสนอชื่อ “พิธา” ชิงนายกฯคนเดียวก่อนเข้าสู่วาระนายวันมูหะมัดนอร์แจ้งเตือนขอให้สมาชิกระมัดระวังการอภิปรายไม่ให้ไปกระทบบุคคลภายนอก อาจมีความผิดทางอาญาและแพ่งต่อบุคคลอื่น ไม่สามารถได้สิทธิการคุ้มครองได้ เพราะมีการถ่ายทอดสดการอภิปราย จากนั้นชี้แจงขั้นตอนการโหวตนายกฯว่า หลังจากมีการเสนอชื่อนายกฯแล้ว จะให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์ มีผู้รับรองจากสมาชิกสภาฯครบถ้วนด้วยวิธีการเสียบบัตรแสดงตน จากนั้นจะให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายข้อซักถามต่างๆ โดย ส.ส.ได้เวลา 4 ชั่วโมง ส.ว. 2 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง จึงเริ่มขั้นตอนโหวตนายกรัฐมนตรีภายในเวลา 17.00 น. กระทั่งเวลา 10.00 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรค พท. ลุกขึ้นเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นบุคคลที่เห็นสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีการเสนอชื่อบุคคลอื่นร่วมชิงตำแหน่งนายกฯ และมี ส.ส.ให้การรับรองการเสนอชื่อนายพิธา ด้วยวิธีเสียบบัตรแสดงตน 298 คน ถือว่ามีเสียงรับรองครบถ้วน “ชาดา” เบรกหยุดหลงระเริง 14 ล้านเสียงจากนั้นที่ประชุมรัฐสภาให้สมาชิกได้อภิปรายซักถามประเด็นข้อสงสัย โดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อภิปรายเป็นคนแรกว่า พรรค ภท.มีจุดยืนไม่สนับสนุนนายกฯที่มีแนวทางแก้ไขมาตรา 112 พร้อมเป็นฝ่ายค้านเพื่อคัดค้านการแก้ ม.112 เต็มที่ และไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายพิธายืนยันจะแก้ไขมาตรา 112 อ้างว่าทำเพื่อรักษาสถาบันด้วยเจตนาดีแต่ไม่เชื่อ อีก 7 พรรคร่วมรัฐบาลจะว่าอย่างไรเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 โดยการอ้างสิทธิ 14 ล้านเสียง แต่คนไทยไม่ได้มีแค่ 14 ล้านเสียง ต้องเป็นนายกฯคนไทยทั้งหมดประเทศ อย่าหลงระเริง 14 ล้านเสียง เพราะไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เสียงชี้ขาด สิ่งที่นายพิธานำเสนอไม่ใช่แก้ไข แต่ยกเลิกมาตรา 112 จะนำสถาบันออกจากความมั่นคงของชาติ และแสดงอาการต่อสาธารณชนมาตลอด ส่งเสริมให้ละเมิดสถาบัน ยังเคยเสนอแก้ไขยกเลิกความผิดฐานหมิ่นประมาทสถาบันไม่ให้เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง การเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นการหมิ่นสถาบัน กำหนดโทษจำคุก 6 เดือนน้อยกว่าโทษหมิ่นประมาททั่วไป หรือไม่ต้องรับโทษ ถ้าเป็นการหมิ่นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ฉุนอยากออก ก.ม.ยิงคนหมิ่นสถาบันนายชาดากล่าวว่า สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ มีคำพูดผู้นำทางจิตวิญาณของพรรค ก.ก.บอกว่า ถ้านายพิธาเป็นนายกฯ จะให้นายพิธาลงสัตยาบันในกฎหมายว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศคือ ฟ้องผู้เป็นประมุขได้ เป็นสิ่งรับไม่ได้ คนนอกประเทศฟ้องพระมหากษัตริย์ได้ คงทำใจไม่ได้ การอ้างเจตนาดี เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาแอบอ้างสถาบัน เป็นวิธีไม่ถูกต้อง ถ้าใครแอบอ้างสถาบันต้องลงโทษคนนั้น ไม่ใช่ลดการคุ้มครองสถาบัน ประเทศนี้ถ้าแก้มาตรา 112 ไม่ได้จะล่มจมหรือ พรรค ก.ก.เกิดมาเพื่อแก้มาตรา 112 อย่างเดียวหรือ คิดว่าพรรค ก.ก.เกิดมาเพื่อล้มล้าง ไม่ต้องชี้ด่า ส.ว. หรือฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องชี้ที่ตัวเอง “ถ้าหลุดมาคำเดียวจะไม่ยุ่งมาตรา 112 พรรค ภท.จะยกมือให้และไม่ร่วมรัฐบาลกับท่านด้วย” บอกตัวเองเป็นฝั่งประชาธิปไตย อีกฝ่ายไม่ใช่เป็นฝั่งโจร ถ้าเป็นโจรก็ยอม เพราะเป็นโจรรักชาติ ปกป้องสถาบัน ถ้าขอออกกฎหมายใหม่ ยิงคนหมิ่นสถาบันแล้วไม่ติดคุกดีหรือไม่ อย่าให้คิดว่า ก.ก. พรรคอนาคตใหม่เกิดมาเพื่อล้มล้างหรือไม่ ทำไมไม่ถอยสักนิด อย่าไปจุดชนวนให้บ้านเมืองส.ว.กาง ก.ม.ห้ามเสนอชื่อคนมีตำหนินายประพันธ์ คูณมี ส.ว. กล่าวว่า การเสนอชื่อพิธาเป็นนายกฯเป็นการเสนอชื่อบุคคลมีลักษณะต้องห้าม ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 159 และ 160 โดยมาตรา 160 (6) ระบุคุณสมบัติคนเป็นรัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) คือไม่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ เสนอชื่อไม่ชอบ ยิ่ง กกต.ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.นายพิธาสิ้นสุดลงหรือไม่ ศาลรับเรื่องทางธุรการแล้ว แสดงให้เห็นว่านายพิธามีคุณสมบัติต้องห้าม ตามความเห็นเป็นที่ยุติของ กกต. สภาต้องพิจารณาว่าการเสนอชื่อนายพิธาเป็นการเสนอชื่อโดยชอบ และขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คุณสมบัติ ส.ส. วิญญูชนวินิจฉัยได้ ไม่ต้องไปถามศาล การให้ศาลวินิจฉัยเพราะ กกต.เห็นว่าสมาชิกภาพ ส.ส.นายพิธาสิ้นสุดแล้วแต่ไม่ยอมรับ หากคนที่ลงมติมีคุณสมบัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังลงมติ อาจเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ และการนำชื่อคนมีลักษณะต้องห้ามขึ้นทูลเกล้าฯ ย่อมมิบังควร สมาชิกรัฐสภาควรใช้ดุลพินิจว่า เมื่อมีลักษณะต้องห้าม ไม่สามารถเสนอชื่อได้ หากดึงดันลงมติ อาจถูกดำเนินคดีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม จึงขอคัดค้าน “พิธา” โวยมีศาลเตี้ยในสภาไม่ได้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ขอใช้สิทธิพาดพิงว่าเวทีนี้คือเวทีเลือกนายกฯไม่ใช่เวทีแก้กฎหมายใด แต่ผู้นำที่ดีต้องอดทนอดกลั้น รับฟังข้อกล่าวหา เห็นด้วยกับนายชาดาว่ามาตรา 112 ไม่ได้อยู่ในเอ็มโอยู 8 พรรค แต่การแก้ไขกฎหมายเป็นหน้าที่สภา ไม่มีใครผูกขาดความคิดได้ สภามีหน้าที่แก้ไขข้อขัดแย้งที่เห็นแตกต่าง ส่วนการลงนามในกฎไอซีซี ประเทศประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 27 ประเทศ ต่างเซ็นลงนาม ถ้าเราเข้าใจว่าสถาบันอยู่เหนือการเมือง ทรงอำนาจผ่าน ครม.ไม่ใช่ประเด็นอย่างที่นายชาดากล่าวหา ที่น่ากังวลคือการบอกใครหมิ่นสถาบันให้เอาปืนไปยิง คนสูญเสียคดี 99 ศพ ที่ราชประสงค์ หรือเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 และ 14 ต.ค.2516 ที่ยังไม่รู้วัฒนธรรมรับผิดรับชอบ จะรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนอภิปรายในสภาฯแบบนี้ ยืนยันยังมีคุณสมบัติสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เคยรู้ข้อกล่าวหาคืออะไร จะมีศาลเตี้ยในสภาฯไม่ได้ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ชี้แจงแม้แต่ครั้งเดียว ตอนปี 62 มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น แต่ไม่มีปัญหาใดๆ รัดกุมมาตลอดเรื่องคุณสมบัติ สอบถามทั้ง กกต. ป.ป.ช. ตั้งแต่เป็น ส.ส.ครั้งแรก ยังดีกว่าบางคนที่ไม่ได้อยู่ในกระบวนการตรวจสอบ ทั้ง กกต. และ ป.ป.ช. “ชัยธวัช” ชี้ ปชช.ตั้งคำถาม ลต.ไปทำไมต่อมา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ก.ก.อภิปรายชี้เหตุผลที่ต้องโหวตนายพิธาเป็นนายกฯว่า ตลอด 2 เดือน เกิดคำถามในใจประชาชนนับล้านคน หากนายกฯคนใหม่ไม่เป็นไปตามผลการเลือกตั้ง เราจะมีการเลือกตั้งไปทำไม อำนาจอธิปไตยของประเทศนี้เป็นของปวงชนชาวไทยจริงๆหรือไม่ หรือเป็นของใครกันแน่ ตราบใดไม่สามารถหาคำตอบแห่งยุคสมัยนี้ได้ สังคมไทยจะหยุดนิ่ง จมดิ่ง ว่ายวนอยู่ในวงจรเดิมๆ มองไม่เห็นอนาคตไปอีกนาน ข้อเสนอของพรรค ก.ก.อยู่บนฐานความคิดที่ว่าสถาบันหลักของชาติ หรือสถาบันการเมืองใดๆก็ตาม จะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่มีสถาบันใดที่จะดำรงอยู่ได้ด้วยการกดปราบ บังคับ แล้วนี่เป็นสิ่งที่เราพยายามเตือน ให้สติสมาชิกและสังคมไทย ผู้มีอำนาจทุกฝ่าย ขอให้ตั้งสติแล้วมองการณ์ไกล เข้าใจสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน เล็งเห็นให้ได้ว่าวิธีการอะไร กุศโลบายอะไรที่ดีที่สุดที่จะรักษา สิ่งที่พวกเรารัก สิ่งที่หลายคนหวงแหนให้ดำรงอยู่ให้ได้ติงดึงสถาบันปะทะผล ลต.อันตรายนายชัยธวัชกล่าวอีกว่า ในสังคมที่มีพลวัตตลอดเวลา เราไม่เชื่อว่าสิ่งใดจะดำรงอยู่ได้ด้วยการสถิตอยู่เหมือนเดิมทุกประการแล้วจะมั่นคงสถาพร แล้วมันไปไกลถึงขนาดว่าการลงมติให้นายพิธาเป็นนายกฯจะเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่รักชาติ ไม่เคารพรักสถาบัน เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข องค์สถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องอยู่เหนือการเมือง อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง อันตรายมากที่เมื่อไหร่ต่างฝ่ายต่างดึงเรื่องนี้เข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง เห็นอยู่แล้วตลอด 2 ทศวรรษ เราพยายามเสนอว่าต้องช่วยกันนำสถาบัน ออกจากความขัดแย้ง ยิ่งนำสถาบันมาปะทะกับผลการเลือกตั้งยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ใครจะรับผิดชอบผลกระทบจากการกระทำแบบนี้ อยากเชิญชวน ส.ส. ส.ว.ลงมติให้นายพิธา เพื่อคืนความปกติให้ระบบรัฐสภาไทย แสดงความเคารพต่อประชาชน ให้โอกาสครั้งใหม่ให้สังคมไทยเริ่มต้นแสวงหาคำตอบแห่งยุคสมัยร่วมกันให้ได้ ขออวยพรให้ประชาชน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย คุ้มครองสมาชิกรัฐสภาทุกท่านที่จะตัดสินใจอย่างกล้าหาญตามมโนธรรมสำนึกและเจตจำนงที่ประชาชนแสดงออกไปแล้วเมื่อวันที่ 14 พ.ค.66รทสช.ซัดแก้ 112 มีแต่ทำแตกแยกนายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า ขอได้หรือไม่ ไม่แก้กฎหมายอาญามาตรา 112 มีเรื่องอื่นอีกมากให้แก้ไข แต่การแก้ 112 มีแต่จะสร้างความแตกแยก ที่บอกว่า 14 ล้านเสียงพร้อมลงถนน อีก 20 ล้านเสียงก็พร้อมยอมตายถวายชีวิต เพื่อปกป้องสถาบันเช่นกัน การแก้ 112 มีแต่จะสร้างความแตกแยก คนลงถนนบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร มีแต่พังพินาศ ชัยชนะบนซากปรักหักพังชอบกันหรือ และนายพิธาจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ในวันนี้อย่าโทษใครทั้งสิ้น ทั้งยังต้องตอบสังคมให้ได้ เพราะเคยบอกว่าจะแก้ไข 112 บางทีบอกยกเลิก บางวันบอกแก้ไขก่อนยกเลิก แล้วจะให้พวกเราคิดอย่างไร นักการเมืองปากอย่างใจอย่างแล้วประชาชนจะเชื่อได้หรือไม่ และร่างแก้ไขมาตรา 112 ร่างจนไม่เหลือการปกป้องใดๆเลย ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 มีแต่การสร้างความเกลียดชังในสังคมไม่มีประโยชน์ใดๆ พรรครทสช.จึงไม่ขอสนับสนุนนายพิธา“อดิศร” ยัน พท.หนุน “พิธา” ไร้เงื่อนไขนายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ประชาชนอยากเห็นพรรคที่ได้ 151 เสียง เป็นนายกฯ และพรรคที่ได้ 141 เป็นข้าวต้มมัดไปด้วยกัน ที่มีคำถามว่าพรรคเพื่อไทยจริงใจหรือไม่ ยืนยันเราจริงใจ ตนจะมีความสุขหากสภาฯเลือกนายพิธาเป็นนายกฯ เวลาไปจับมือกับผู้นำประเทศต่างๆจะสง่างาม พรรค พท.มีแคนดิเดตนายกฯถึง 3 คน แต่ครั้งนี้ต้องเปิดโอกาสให้นายพิธา ดำรงตำแหน่งนายกฯโดยไม่มีเงื่อนไขดาหน้าถล่มแก้ ม.112-แยกดินแดนจากนั้นที่ประชุมรัฐสภาเปิดโอกาสให้ ส.ส.และ ส.ว.สลับกันขึ้นอภิปราย โดย ส.ว. และ ส.ส.ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิมส่วนใหญ่อภิปรายแสดงความกังวลและตั้งคำถามไม่สบายใจถึงการแก้ไขมาตรา 112 แนวคิดเปลี่ยนวันชาติ การแบ่งแยกดินแดน ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนนายพิธาได้ อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. อภิปรายว่า รับไม่ได้ต่อแนวทางพรรค ก.ก.ที่ละเมิดต่อรัฐ ความมั่นคง โดยเฉพาะการลงโทษอย่างมีเงื่อนไขกรณีการหมิ่นสถาบัน ให้มีบทยกเว้นไม่ต้องรับโทษจากการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 อาจทำให้เกิดการใส่ร้าย วิจารณ์ไม่เป็นธรรมบนโซเชียลมีเดีย ขณะที่นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. อภิปรายว่า พรรค ก.ก.เดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 อย่างเคร่งครัด ไม่คิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติด เหมารวมความชอบธรรมได้ 14 ล้านเสียง ใช้การคุกคามทางโซเชียลให้โหวตตัวเอง เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่ยอมรับความเห็นต่างจากกลุ่มอื่น ใครคิดแก้มาตรา 112 ตนและสมาชิกพรรค ปชป.จะต่อสู้ ต่อต้าน ปกป้องสถาบันถึงที่สุดก.ก.โอดครวญโดนรุมกินโต๊ะผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ ส.ส. และ ส.ว.หลายคนอภิปรายโจมตีพรรค ก.ก.อย่างหนัก ทำให้ ส.ส.พรรค ก.ก. อาทิ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทักท้วงนายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมว่า ปล่อยให้สมาชิกรัฐสภาพาดพิงพรรค ก.ก.อยู่เป็นระยะ ควรให้โอกาสได้ชี้แจงบ้าง นายพรเพชรจึงให้พรรค ก.ก.ใช้สิทธิพาดพิง โดยนายพิธาอภิปราย ขอชี้แจง 3 เรื่องคือ 1.เรื่องต่างประเทศ ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศของตนจะหาจุดสมดุลระหว่างมหาอำนาจ ไม่ใช่เงียบทุกเรื่องทำไห้ประเทศไทยไม่มีน้ำหนักในเวทีการเมือง 2.การแบ่งแยกดินแดน ขอให้คำยืนยันรัฐไทยภายใต้การนำของตน ประเทศไทยจะเป็นรัฐเดี่ยว จะทำทุกวิถีทาง ผ่านการทูต พลเรือน ให้รัฐไทยเป็นรัฐเดี่ยว ก้าวหน้า จะลดความมั่นคงทางทหาร เพิ่มความมั่งคั่งทางอาหาร เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ใช้สภาฯเป็นพื้นที่พูดคุยป้องกันการแบ่งแยกดินแดน 3.ปัญหายาเสพติด จะนำเทคโนโลยีมาช่วย และพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจะใส่ใจแน่นอน รับประกันได้พ้อโดนขยายความน่ากลัวเกินจริงนายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค ก.ก. กล่าวว่า การตั้งคำถามว่าถ้าพรรค ก.ก.เสนอยกเลิกโทษจำคุกกรณีหมิ่นสถาบันจะทำให้วุ่นวาย ขอชี้แจงว่า ไม่ใช่สังคมใหม่ที่วุ่นวาย ข้อเสนอนี้มาจากหลักการสากลปัจจุบันในนานาอารยประเทศ เนื้อหาที่พรรค ก.ก.เคยเสนอแก้ไข เพื่อประกันเสรีภาพการแสดงออกให้ได้สัดส่วนในสิทธิชื่อเสียงบุคคลอื่น สอดคล้องหลักสิทธิเสรีภาพหลักประชาธิปไตยสมัยใหม่ การลงโทษจำคุกคดีอาญา ควรมีเฉพาะการทำผิดที่มีลักษณะร้ายแรงเท่านั้น ส่วนลงโทษจำคุกฐานหมิ่นประมาทจะกระทบเสรีภาพเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน หลายประเทศยกเลิกโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว การเสนอบทยกเว้นโทษหมิ่นสถาบันที่ระบุว่าไม่เคยเห็น เคยปรากฏ มาปี 2478 มีบทยกเว้นมาแล้ว ถ้าวิจารณ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราไม่ได้เสนอร่างกฎหมายที่พิสดาร แต่ถูกนำไปอธิบายให้ดูน่ากลัวเกินไป เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อยู่แล้วว่า พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะเคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดไม่ได้ แต่กลับถูกตีความเกินเลย จำเป็นต้องอธิบายต้องให้เข้าใจ “พิธา” ฉะ ส.ว.กุคลิปเฟกนิวส์ต่อมาเวลา 13.45 น. นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. อภิปรายว่า นายพิธาไม่สมควรได้รับเสนอชื่อเป็นนายกฯ การที่พรรค ก.ก.ได้ 14 ล้านเสียง อย่าสำคัญผิดว่าได้ 30 ล้านเสียง เสียงที่เหลือเป็นของพรรคอื่นที่ประชาชนลงคะแนนให้ พรรค พท.ได้ 10 ล้านเสียงที่ไม่เลือกนายพิธา การทำหน้าที่นายกฯต้องมีพฤติกรรมชัดเจน ไม่ลบหลู่สถาบัน 4 ปี ส.ว.ถูกด่ามาตลอด แต่ทนอยู่เพื่อปกป้องบ้านเมืองที่มีการสร้างแนวคิดให้ประชาชน และยุยงเด็กไปในแนวทางที่ผิด ให้ละเมิดสถาบัน ถ้าบอกว่าอยากเป็นนายกฯและจะเลิกแก้มาตรา 112 ก็ไม่เชื่อ คิดว่าหลอกลวง วันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอีกอย่างจากนั้นนายพิธาใช้สิทธิถูกพาดพิงชี้แจงการยุยงสนับสนุนเด็ก ยืนยันเด็กรุ่นใหม่ยุยงปลุกปั่นไม่ได้ เขามีความคิดเป็นของตัวเอง เข้าถึงข้อมูลได้ ไม่เหมือนสมัยก่อน ส่วนการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ไปประกันตัวเด็กต้องการให้เข้าถึงเสรีภาพ การเข้าถึงทนาย สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน ถ้ายังไม่มีคำพิพากษา ขณะที่นายเสรีโต้กลับว่ามีหลักฐานเป็นคลิประบุชัดเจนที่เด็กพูดเองมีพรรค ก.ก.อยู่เบื้องหลัง แต่นายพิธายืนยันว่าเรื่องคลิปต่างๆมีเฟกนิวส์ ใครจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีการตรวจสอบ ต้องมีวุฒิภาวะการตรวจสอบ แต่นายเสรียืนยันไม่ใช่เฟกนิวส์ เรื่องจริงปูดวิชามารใช้กองทัพอวตารบูลลี่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวว่า ขณะนี้ มีกองทัพอวตารแก้วสามประการในโซเชียล พยายามมากดดัน บูลลี่ ส.ว.ให้เลือกตามมติเสียงข้างมาก แม้มี ส.ว.บางส่วนขอปิดสวิตช์ตัวเอง แต่ยังขู่ บูลลี่ไม่ให้ปิดสวิตช์ ไม่ขอพูดถึงวิชามารมีทุกรูปแบบ ยืนยัน ส.ว.ทุกคนทำหน้าที่อย่างสุจริต ไม่มีอคติ อามิสสินจ้าง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้มวลชนบนท้องถนน กองทัพอวตารในโซเชียลโจมตี ส.ว. แต่ตนจะทำหน้าที่ด้วยความไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น เชื่อมั่นว่า ส.ว.ทุกคนเคารพเสียงเลือกตั้งที่เห็นด้วยกับทุกพรรคการเมือง ขอร้องหลังจากเลือกเสร็จแล้วไม่ว่านายพิธาจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ ขอให้เลิกอ้างเสียงข้างมากมากดดัน เพราะผิดหลักประชาธิปไตย เป็นอนาธิปไตย “ต้องเลิกอ้างเสียงข้างมาก 14 ล้านเสียง แล้วบังคับคนทั้งประเทศว่าต้องเห็นด้วย ผิดหลักประชาธิปไตยแต่เป็นเผด็จการ เราอยากเห็นประชาธิปไตยรุ่นใหม่ อยากเห็นความสงบ เราเดินเข้าสู่ครรลองประชาธิปไตยแล้ว อย่าใช้สังคมกดทับ อย่าใช้ประชาธิปไตยแบบฟุ่มเฟือย หรือเลือกพวกข้าเท่านั้นที่ถูก เลือกพวกเอ็งผิด ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้าเลือกทางเดินแบบสุดโต่ง สร้างลัทธิสุดโต่งครอบงำเยาวชน นายพิธายังไม่เหมาะสมเป็นนายกฯ”“ไอติม” ยันไม่ล้มล้างการปกครองนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า มาตรา 112 มีปัญหาการบังคับใช้ มีหลายกรณีที่การดำเนินคดีอาจไม่เข้าข่ายอาฆาต มาดร้าย พรรคก้าวไกลจึงเสนอแก้ไขขอบเขตการบังคับใช้ให้ชัดเจนขึ้นในกรณีการแสดงออกโดยสุจริต ไม่มีเจตนาล้มล้างการปกครอง แต่พยายามเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องหลักสากลในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คำถามสำคัญไม่ใช่การแสดงความเห็นว่ารู้สึกอย่างไรต่อแคนดิเดตนายกฯ แต่คือคำถามว่ารัฐสภาจะเคารพเสียงประชาชนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนพรรคใดที่ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้ว แต่ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสภาวะการเมืองปกติ ส่วนหนึ่งมาจากมาตรา 272 ให้ ส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ แทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล การขานชื่อนายพิธาคือการให้ความเห็นชอบ คืนความปกติให้การเมืองไทย ให้โอกาสประชาธิปไตยเดินหน้าต่อ เคารพเสียงประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ตามหลักการขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย “โรม” ยัน “ทิม” ยังบริสุทธิ์มีสิทธิเสนอชื่อนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ก.ก.ลุกขึ้นชี้แจงกรณีนายพิธา ถูกสมาชิกอภิปรายท้วงติงเรื่องหุ้นไอทีวีว่า 1.กระบวนการที่ดำเนินการต่อ นายพิธายังไม่สิ้นสุด ถือหลักสันนิษฐานไว้ก่อนให้เป็นผู้บริสุทธิ์ นายพิธาจึงยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ตามมาตรา 159 ประกอบมาตรา 88 ของรัฐธรรมนูญได้ นี่คือหลักการที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับร่วมกันและในปี 62 ตอนที่จะเลือกนายกฯ ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชากับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ วันนั้นลงมติได้ปกติ ทั้งที่เวลานั้นนายธนาธรถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้วด้วยซ้ำ แต่นายพิธายังไม่ได้ถูกสั่งอะไรเลย มีสิทธิชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ บรรดาเรื่องที่หยิบยกมาหุ้นไอทีวี ไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาได้ว่านายพิธาไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้ ตกลงเพราะนายพิธาคือหัวหน้าพรรค ก.ก.ใช่หรือไม่ ถึงไม่สามารถปฏิบัติอย่างปี 2562 ทำกันได้ และข้อสุดท้ายที่พูดว่าการกระทำของเราทั้งหลายแหล่ล้มล้างการปกครอง การล้มล้างการปกครองที่เห็นมาชั่วชีวิต มีกรณีเดียวคือการรัฐประหารจี้ ก.ก.หยุดข่มขืนสภาฯนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค รทสช. อภิปรายว่าไม่ติดใจนายพิธา แต่ติดใจนโยบายแก้ไขมาตรา 112 พรรคการเมือง 17 พรรคในสภาฯ และ ส.ว.ไม่สนับสนุน มีเพียงพรรคเดียวที่สนับสนุน ถือเป็นความผิดปกติ ขอให้ทบทวนข้อติดขัดได้หรือไม่ จะปรับปรุงให้ปกติ ต้องปรับให้ถูกที่ คนที่ได้คะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง ไม่ใช่ทั้งหมดของสภาฯ กำลังจะข่มขืนสภาฯแบบนี้จะปกติสุขได้อย่างไร หากอ้างความไม่ปกติในสิ่งที่ตนเองไม่ปกติ จะข่มขืนสภาฯ ให้ทำตาม ขอให้ขยับก้าวนั้นได้หรือไม่ ติดใจอยู่ข้อเดียวจึงจะจบได้ ก้าวเดียวก็ได้เป็นนายกฯ อยู่ที่หมากคนคนเดียวนายประพันธ์ คูณมี ส.ว.อภิปรายปิดท้ายว่า การเลือกนายกฯครั้งนี้เป็นกระบวนการรัฐสภา ไม่ใช่เรื่อง 14 ล้านเสียงยืนยันการเสนอชื่อนายพิธาขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (6) และนายพิธาไม่เหมาะสมเป็นผู้นำประเทศ ไม่เคยกล่าววาจาแสดงความจงรัก ภักดีจะซื่อสัตย์หรือเคารพระบอบประชาธิปไตย เอาแต่แสดงวิสัยทัศน์เรื่องมาตรา 112 อ้างมีคนใช้สถาบันเป็นเครื่องมือการเมือง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง บอกจะจัดวางสถาบันให้เหมาะสมอย่างไร ถ้าวันพรุ่งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จะตั้งรัฐบาลได้อย่างไรอภิปรายเกือบ 7 ชม.โหวตนายกฯกระทั่งเวลา 15.55 น.หลังจากสมาชิกทุกฝ่ายอภิปรายครบถ้วนแล้ว ใช้เวลาเกือบ 7 ชั่วโมงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุมอธิบายขั้นตอนการโหวตนายกฯ โดยการขานชื่อตามตัวอักษรให้สมาชิกฟัง พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจนับคะแนน และสั่งให้สมาชิกรัฐสภาเสียบบัตรแสดงตน เพื่อตรวจนับองค์ประชุม 676 คน ถือว่าครบองค์ประชุมเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนการโหวตนายกฯต่อไปประท้วงวุ่นเด็กปลาไหลขอแก้มติกระทั่งเวลา 17.55 น. หลังสมาชิกรัฐสภาขานชื่อลงมติเสร็จแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์เปิดโอกาสให้คนที่มาลงมติไม่ทันได้มาลงมติเพิ่ม แต่ปรากฏว่านายนภดล มาตรศรี ส.ส.สุพรรณบุรี พรรค ชทพ.ได้ขอแก้ผลการลงมติจากที่ขานคะแนนเห็นชอบนายพิธาเป็นงดออกเสียง ทำให้เกิดความวุ่นวายเมื่อนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท. พร้อมด้วย ส.ส.พรรค พท.รุมประท้วงนายวันมูหะมัดนอร์ว่าไม่สามารถเปลี่ยนการลงมติแล้ว เพราะขานลงมติไปแล้วร่วม 2 ชั่วโมง จะแก้ไขไม่ได้ อาจกลายเป็นประเพณีที่เปลี่ยนการลงมติใหม่ กรณีการลงมติใหม่จะทำได้เฉพาะคนที่ยังไม่ขานการลงคะแนนเท่านั้น แต่นายวันมูหะมัดนอร์ ยืนยันว่าเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ หากยังไม่ปิดการลงคะแนน แม้นายจุลพันธ์จะพยายามโต้แย้งอยู่พักใหญ่ แต่นายวันมูหะมัดนอร์ ยืนกรานว่าตามข้อบังคับทำได้ขณะที่นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส.สุพรรณบุรี พรรค ชทพ.ช่วยยืนยันว่านายนพดลขาน คะแนนผิดจริงๆ จึงทำหนังสือแจ้งประธานถึงข้อผิดพลาดการลงมติ เพื่อขอแก้ไขการลงมติอีกครั้ง ขอบคุณประธานรัฐสภาให้โอกาสแก้ไข ยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลง หรือใครบังคับให้เปลี่ยนการลงคะแนน หลังจากนายวันมูหะมัดนอร์ยืนยันให้เปลี่ยนการลงมติได้ นายจุลพันธ์จึงยอมรับคำวินิจฉัยของประธานที่ประชุม แต้มไม่ถึง “พิธา” ชวดเก้าอี้นายกฯต่อมานายวันมูหะมัดนอร์ประกาศผลลงคะแนน ปรากฏว่านายพิธาได้คะแนนเห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง เป็นอันว่านายพิธาได้รับคะแนนเห็นชอบไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ถือว่ามติที่ประชุมไม่เห็นชอบการแต่งตั้งนายพิธาเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรค 1 ก่อนที่จะสั่งปิดประชุมในเวลา 18.25 น.เสียง ส.ส.2 ฝั่งไม่มีแตกแถวผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงคะแนนในส่วนของส.ส.พบว่าลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด 8 พรรคร่วมรัฐบาลลงคะแนนทางเดียวกันทั้ง 312 เสียง คือ เห็นชอบนายพิธาเป็นนายกฯ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ส่วนใหญ่ลงมติไปในทางไม่เห็นชอบนายพิธาเป็นนายกฯ ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า ลงมติงดออกเสียง ส่วนพรรคเล็กลงมติแตกต่างกัน อาทิ พรรคใหม่ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ลงมติงดออกเสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคท้องที่ไทย ลงมติไม่เห็นชอบ ทั้งนี้ มี ส.ส.เข้าร่วมประชุม 499 คน จาก 500 คน ขาดไป 1 คนคือ นายศักดิ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรค ภท.เนื่องจากป่วยนอนอยู่ในโรงพยาบาลเสียง ส.ว.หนุนให้มีแค่ 13 คนผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของ ส.ว.ที่ลงคะแนนเห็นชอบให้นายพิธาเป็นนายกฯนั้น มี 13 คน ได้แก่ 1.นายไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ 2.พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา 3.นายเฉลา พวงมาลัย 4.นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล 5.พล.ต.ท.ณัฏฐวัฒน์ รอดบางยาง 6.นายพิศาล มาณวพัฒน์ 7.นายพีระศักดิ์ พอจิต 8.นายมณเฑียร บุญตัน 9.นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ 10.นายวันชัย สอนศิริ 11.นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ 12.นพ.อำพล จินดาวัฒนะ 13.นางประภาศรี สุฉันทบุตร เกือบทั้งหมดเป็นไปตามข่าวก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าจะลงมติสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า มี ส.ว.บางส่วนที่เคยระบุจะลงคะแนนสนับสนุนนายพิธา แต่กลับไม่ปรากฏผลการลงคะแนนใดๆ อาทิ น.ส.ภัทรา วรามิตร นายประมาณ สว่างญาติ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ นางประยูร เหล่าสายเชื้อ นายดิเรกฤทธิ์ เจนคลองธรรม ที่ไม่ยอมลงมติ ขณะที่นายรณวริทธ์ ปริยฉัตรตระกูล นายทรงเดช เสมอคำ ที่เคยระบุจะลงมติสนับสนุนนายพิธา แต่กลับลงมติงดออกเสียงลาไม่มาประชุม 33 รายผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนการลงคะแนนโหวตนายกฯ มี ส.ว.ลาการประชุมทั้งหมด 33 คน ทำให้เหลือจำนวน ส.ว.ที่เข้าร่วมประชุม 216 คน อย่างไรก็ตามพบว่าในการลงมติโหวตนายกฯ มีส.ว.ที่ขานชื่อลงมติเพียง 206 คนเท่านั้น แสดงว่า มี ส.ว.อีก 10 คน ที่ไม่ได้ลาประชุม แต่ไม่ยอมร่วมลงมติใดๆทั้งสิ้นในการโหวตนายกฯ43 ส.ว.หายไม่ร่วมโหวตลงมติผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ส.ว.ที่ไม่ได้อยู่ร่วมในการโหวตลงคะแนนเลือกนายกฯครั้งนี้ มีจำนวน 43 คน ครอบคลุมทั้ง ส.ว.ที่ลาประชุม และคนที่ไม่ได้ลาประชุม แต่ไม่ยอมลงคะแนนใดๆทั้งสิ้น อาทิ ผบ.เหล่าทัพทั้ง 6 คนที่ลาประชุม น.ส.ภัทรา วรามิตร นายประมาณ สว่างญาติ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ นางประยูร เหล่าสายเชื้อ นายดิเรกฤทธิ์ เจนคลองธรรม นางกอบกุล อาภากร ณ อยุธยา นายกิตติ วะสีนนท์ นายเจน นำชัยศิริ นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ พล.อ.เชวงศักดิ์ ทองสลวย พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพน พล.อ.ดนัย มีชูเวท น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ พล.อ.นพดล อินทปัญญา พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ใจชาญสุขกิจ พล.อ.ปัฐมพงศ์ ประถาภัฎ นายพิทักษ์ ไชยเจริญ พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย นายภาณุ อุทัยรัตน์ พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์รีบเผ่นเลี่ยงเผชิญหน้าม็อบผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังลงมติโหวตเลือกนายกฯเสร็จ ส.ว.บางส่วนที่ลงมติแล้วทยอยออกจากห้องประชุมรัฐสภาในทันที สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแจ้งไลน์ให้กับ ส.ว.ทราบเส้นทางออกจากรัฐสภาใช้ทางออกหลักที่ถนนสามเสน มีรถตำรวจนำส่งรถ ส.ว.ครั้งละ 5-10 คันวิ่งเข้าพื้นที่กองพันทหารม้าที่ 4 รอ.วิ่งเข้ากองพันทหารปืนใหญ่ไปออกถนนพระรามที่ 5 โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรึงรักษาพื้นที่ตรงประตูทางเข้า-ออกอาคารพระจันทรา (ตึก ส.ว.) อีกเส้นทางสำหรับ ส.ว.ที่ให้คนขับรถไปจอดรถรอที่กรมชลประทาน แยกศรีย่าน มีเรือเร็วของกรมเจ้าท่าและเรือของกรมการขนส่งทหารเรือ (ขส.ทร.) 2 ลำรอรับ-ส่ง ส.ว.ไปขึ้นที่ท่าเรือกรมชลฯ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ แกนนำ ส.ว.ที่ไม่โหวตเลือกนายพิธาเป็นคนแรก นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาไปส่งนอกพื้นที่อาคารรัฐสภา ฝั่งถนนสามเสน ส่วนเจ้าหน้าที่ข้าราชการรัฐสภาใช้ออกจากรัฐสภาทางอาคารพระจันทรา (ตึก ส.ว.) ที่ปิดการจราจร “ชลน่าน” รอคุยพรรคร่วมฯเมื่อเวลา 18.30 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการโหวตเลือกนายกฯเสร็จสิ้นว่า เมื่อทราบผลโหวตตนและนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เดินไปให้กำลังใจนายพิธา หลังจากนี้พรรค พท.คงต้องหารือกันภายในถึงแนวทางการดำเนินงานต่างๆเพื่อนำไปหารือกับพรรคก้าวไกลต่อไป ต้องรอให้พรรค ก.ก.เป็นคนนัดหมาย เพื่อจะได้หารือกันรวมถึงพรรคอื่นๆ จึงยังไม่สามารถตอบแนวทางอะไรได้ ขอให้รอความชัดเจนจากการหารือก่อน“พิธา” ไม่ยอมเเพ้ รวมเสียงลุยรอบ 2นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงผลลงมติที่เกิดขึ้นเรายอมรับ แต่เรายังไม่ยอมแพ้ ยอมรับยังไม่ถึงมติ 376 เสียง ตามที่เคยคิดคาดการณ์ไว้ ต้องยอมรับว่ามีการกดดัน ส.ว.เยอะ ที่ไม่มาประชุมเกือบ 40 กว่าคน ตรงนี้อาจไม่ตรงตามที่เราคาดการณ์ไว้ จะใช้เวลาหายุทธศาสตร์รวบรวมเสียงโหวตครั้งต่อไป ส่วนโหวตครั้งต่อไปเป็นเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับประธานสภาฯ เมื่อถามว่ายังมั่นใจกับพรรค พท.ใช่ไหมว่ายังจับมือกันต่อนายพิธาตอบว่า ผลโหวตบอกว่าอย่างนั้น เรายังทำงานด้วยความเชื่อใจซึ่งกันและกันกับพรรค พท.และพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เมื่อถามว่ารอบหน้าพรรค ก.ก.ต้องยอมถอยการแก้ไข 112 หรือไม่ หรือต้องปรับอย่างไรเพื่อพูดคุยกับ ส.ว. นายพิธาตอบว่า ยังเหมือนเดิม เราสัญญากับประชาชนไว้อย่างไร เราทำอย่างนั้น และวันนี้มีนิมิตหมายที่ดีที่มีโอกาสอธิบายในสภาฯเสียที เมื่อถามย้ำว่ามีการปรับลดเพดานมาตรา 112 ลงไหม อาจทำให้คะแนนดีขึ้น นายพิธาตอบว่า ตอนนี้มุ่งหน้าสู่การลงมติครั้งที่ 2 ต่อไปทีละสเต็ปขอบคุณ 13 ส.ว. ผู้กล้าทำตามสัญญาเมื่อถามว่าได้เสียง ส.ว.มาแค่ 13 เสียง นายพิธาตอบว่า จะเริ่มลงรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ได้ข่าวว่าบางท่านไปต่างประเทศ บางท่านไม่อยู่ในห้องประชุม นั่นเป็นรายละเอียด แต่ที่พูดได้คือยังไม่ยอมแพ้ เราเข้าใจชื่นชมให้กำลังใจ ส.ว. ขอบคุณทั้ง 13 ท่าน ที่กล้าหาญลงมติตามที่ท่านเคยสัญญากับประชาชนไว้ ต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าเหตุผลอะไรทำให้หลายคน ไม่มีโอกาสมาเป็นองค์ประชุมร่วม เมื่อถามว่า หากรอบ 2 ยังเป็นแบบวันนี้ยังจะไปต่อหรือไม่ นายพิธาตอบว่า เดี๋ยวต้องวางแผนรอบที่ 2 ให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากันอีกที เมื่อถามย้ำว่าเตรียมใจหรือไม่ว่าวันหนึ่งอาจต้องกลับไปเป็นฝ่ายค้าน นายพิธากล่าวว่า ตอนนี้เตรียมใจเตรียมสมอง เตรียมแผนในการโหวตครั้งที่ 2 เมื่อถามอีกว่า ระยะเวลารอบ 2 ไม่นานมาก ถ้าเทียบกับรอบ 1 มีเวลาจะชูยุทธศาสตร์หรือจุดยืนแต่ยังแพ้ แล้วรอบ 2 จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะชนะ นายพิธาตอบว่า แล้วแต่ที่จะมอง ยังคิดว่ามีเวลากกต.โต้ไม่ได้เร่งเชือด “ทิม”วันเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจง กรณีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่กรณีถือหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 12 ก.ค.66 ว่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 วรรคสี่ ที่บัญญัติให้ กกต.เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรงส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาหรือให้ ส.ส.ผู้มีเหตุสิ้นสุดสมาชิกภาพมารับทราบข้อกล่าวหาหรือมาชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้สิทธิชี้แจงข้อเท็จจริง เสนอพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญได้ กกต.ไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ขอยืนยัน กกต.ไม่ได้เร่งรีบ หรือเร่งรัดให้เรื่องดังกล่าวเสร็จสิ้นเร็วกว่าปกติ ได้ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบคอบ เป็นกระบวนการที่ปฏิบัติตามมาตรา 82 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญทุกประการม็อบด้อมส้มมาเชียร์ตามนัดขณะที่เวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศของกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาให้กำลังใจและลุ้นผลโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ จากบริเวณหน้ารัฐสภา ฝั่งถนนทหารว่าตลอดแนวฝั่งสภาฯ จนถึงทางเข้า เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตู้คอนเทนเนอร์คลุมด้วยไวนิลสีดำและไวนิลรูปต้นไม้เป็นแนวกั้นกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมกับนำแผงสังกะสีผูกติดกันตั้งเป็นรั้วกั้นไม่ให้ขึ้นหรือลงสะพานลอยเดินข้ามแยกต่างๆ ที่ใกล้กับรัฐสภา และนำลวดหนามวางปิดทางขึ้นลงอีกชั้นหนึ่ง มีตำรวจยืนประจำการอยู่ตามจุดต่างๆ กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นขาประจำม็อบมาตั้งแต่สมัยม็อบเสื้อแดง ม็อบราษฎร บางส่วนมาปักหลักค้างคืนตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.ที่หน้าศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร (เกียกกาย) ฝั่งตรงข้ามรัฐสภาพากันตั้งร้านขายของที่ระลึกสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล ริมฟุตปาท มีนางนภัสสร บุญรี หรือป้านก สวมเสื้อสีส้ม ยืนเรียงแถวริมถนนทหาร ชูป้ายเชียร์ให้รถที่วิ่งเข้ารัฐสภาได้เห็นประกาศหัวชนฝาจะสู้จนกว่านายพิธาได้เป็นนายกฯก่นด่ายับ ส.ส.-ส.ว.งดโหวตด้านนายกรกต แสงเย็นพันธุ์ หรือปอ กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นายชาติชาย แกดำ หรือบอยกลุ่มราษฎร นายทรงธรรม แก้วพันธุ์พฤกษ์ หรือเดฟ กลุ่ม wevo ได้นำทีมงานสังเกตการณ์ก่อนจัดการชุมนุม มีมวลชนเสื้อส้มทุกเพศทุกวัยทยอยมาร่วมฟังการถ่ายทอดเสียงการอภิปรายในสภาแบบสดๆ จากเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ ระหว่างที่ ส.ส. และ ส.ว.อภิปรายพาดพิงพรรคก้าวไกลเรื่องแก้ไขมาตรา 112 พากันโห่ฮากันเป็นระยะๆกระทั่งเวลา 15.50 น. เริ่มคึกคักขึ้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการลงมติโหวต มวลชนมารวมตัวกันเต็มทุกเต็นท์ เมื่อได้ยินผู้ลงมติขานเห็นชอบจะส่งเสียงเฮดังลั่น รายใดขานไม่เห็นชอบหรืองดออกเสียงจะตะโกนด่าขณะที่เวทีปราศรัยแกนนำ ประกอบด้วย น.ส.ธนพร วิจันทร์ กลุ่มเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน และนายรัฐพล เลิศไพจิตร กลุ่ม wevo ขึ้นพูดคุยอยู่ตลอดผิดหวังร่ำไห้นัดชุมนุมทุกวันต่อมาเวลา 17.45 น. เริ่มมีฝนโปรยปรายลงมาในบริเวณพื้นที่ชุมนุมจนมวลชนต้องลุกเดินหนีหลบฝน บ้างนำร่ม เสื้อกันฝนมาสวมใส่ เป็นเวลาเดียวกันกับผลลงมติเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือ 375 เสียง ทำให้ผู้ชุมนุมต่างพร้อมใจกันแสดงออกถึงความผิดหวัง ออกอาการโกรธเกรี้ยว ตะโกนโห่ร้อง ด่าทอ ส.ส.-ส.ว.ที่ไม่ออกเสียงให้นายพิธา บางรายถึงกับร่ำไห้ด้วยความคับแค้น ส่วนบนเวทีปราศรัยเป็นไปด้วยความดุเดือด น.ส.ธนพร วิจันทร์ ขึ้นกล่าวบนเวทีชักชวนให้มวลชนร่วมกันชูสัญลักษณ์นิ้วกลางให้ ส.ว.ที่ไม่ฟังเสียงของประชาชนประกาศหลังจากนี้จะยกระดับการต่อสู้ของประชาชน และจะออกมาชุมนุมกันทุกวันแน่ จากนั้นนายธัชพงษ์ แกดำ หนึ่งในแกนนำ ได้เคลื่อนรถปราศรัยนำมวลชนออกจากศูนย์ราชการฯเกียกกาย ไปชูสามนิ้วปิดกั้นประตูรัฐสภา ฝั่งถนนทหาร และร่วมกันปรบมือให้กำลังใจ ส.ส. 8 พรรค ที่ไม่หักหลังพรรคก้าวไกล “โรม” นำทีมทักทายม็อบเวลา 18.30 น. ที่เวทีมวลชนสนับสนุนพรรค ก.ก.ที่ศูนย์ราชการ กทม.ยังคงมีการปราศรัยจากนักเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆเพื่อโจมตีกลุ่ม ส.ว.ที่ไม่โหวตเลือกนายพิธาเป็นนายกฯ อาทิ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข น.ส.อาทิตยา พรพรหม หรือ ซัน กลุ่ม demhope นายฉัตรชัย พุ่มพวง กลุ่มสหภาพคนทำงาน นายธีรัตม์ พณิชอุดมพัชร์ กลุ่ม ครช. นายอุเชนทร์ เชียงแสน นักวิชาการ ม.วลัยลักษณ์ ยังมีนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.พรรค ก.ก.มาพบปะกับกลุ่มมวลชน ต่อมานายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำ ส.ส.พรรคก้าวไกล อาทิ น.ส.รัชนก ศรีนอก น.ส.เบญจา แสงจันทร์ และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เดินออกจากสภาฯ ไปทักทายและขอบคุณประชาชนนัดรวมพลหอศิลป์ส่วนที่สี่แยกเกียกกายมุ่งหน้าแยกบางโพ ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลทยอยออกจากพื้นที่ กระทั่งเวลา 19.20 น. นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรงค์ กลุ่มโมกหลวงริมน้ำและนักเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆขึ้นเวทีปราศรัย โดยนายโสภณประกาศกับมวลชนว่า “ขอให้ทุกคนฟังให้ดี ถ้าเราไม่สู้วันนี้จะไม่มีวันที่พรรค การเมืองฝ่ายประชาธิปไตยใดเข้าไปสภาฯ อนาคตประชาชนไม่มี ขอให้ทุกคนร่วมกันสู้ ร่วมกันลงถนน 14 ก.ค.พบกัน 18.00 น. ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่ง กรุงเทพมหานคร ออกมาแสดงพลังร่วมกัน อย่าให้ใครอ้างเงื่อนไข ทำลายกติกาโจรให้หมด นี่คือยุคสมัยของประชาธิปไตยและของประชาชน ขอให้ทุกคนมาแสดงพลังร่วมกัน เราจะชูสามนิ้วให้มืดฟ้ามัวดิน ถ้าหากยังรออยู่หน้าจอ อยู่ในโลกออนไลน์ ยุคสมัยใหม่จะไม่มา ความหวังจะไม่เกิด แล้วเชิญชวนให้ชูนิ้วกลางหันหน้าไปทางรัฐสภา ระบุว่าวันหนึ่งเจดีย์นั้นจะเป็นเมรุเผาศพของพวกเผด็จการ” ผู้ว่าฯ กทม.ยืดเวลาขยายพื้นที่ม็อบที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการ กทม.2 ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า ได้ลงนามประกาศ กทม. เรื่องจัดให้มีสถานที่เพื่อใช้สำหรับการชุมนุมสาธารณะ (ฉบับที่ 2) เพิ่มเติม กำหนดให้พื้นที่ถนนอีก 1 ช่องจราจร และลานอเนกประสงค์ ภายในศูนย์ราชการเกียกกาย พื้นที่ประมาณ 3,990 ตารางเมตร เป็นสถานที่ใช้ชุมนุมสาธารณะตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ระหว่างวันที่ 12-21 ก.ค.โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ถือปฏิบัติตามประกาศฯฉบับที่ 2ด้อมต่าง จว.ยังหวังลุ้นโหวตรอบ 2ส่วนในต่างจังหวัด หลังผลโหวตคะแนนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกฯ ประชาชนที่ออกมารวมตัวลุ้นผลโหวตต่างพากันให้กำลังใจนายพิธา อาทิ จ.เชียงใหม่ แฟนเพจประชาคมมอชอ-Community of MorChor และประชาชนบางส่วนรวมตัวกัน ที่ลานอเนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพ ทุกคนต่างเสียใจกับผลโหวตแต่ยังหวังจะได้รับโอกาสโหวตใหม่อีกครั้ง ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ ประชาชน พ่อค้าแม่ค้าในตลาดพากัน ทำใจ และรอดูการโหวตรอบต่อไป ที่ลานแอโรบิก ริมสวนสาธารณะหนองประจักษ์ หน้าสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครอุดรธานี กลุ่ม “สู้เป็นไทย ถอยเป็นทาส” กลุ่ม “บิ๊กไบค์อุดร” และกลุ่ม “กอผือรื้อเผด็จการ” ใส่เสื้อสีส้มและสีดำ รวมตัวกันอ่านแถลงการณ์ คัดค้านมติ กกต.ที่ไม่เห็นหัวประชาชน ร่วมจุดเทียนเป็นเชิงสัญลักษณ์ รวมถึง จ.นครนายก ก็จุดเทียนให้กำลังใจนายพิธา ที่ศาลาเดิม ภายใน ม.ขอนแก่น กลุ่มราษฎรขอนแก่นและภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม “Respect My Vote ซอมเบิ่งโหวตนายก” ลุ้นผลโหวตผ่านจอหนังกลางแปลง พอรู้ผลโหวต ได้ร่วมกันจุดเทียนเรียงเป็นตัวอักษร R.I.P.ไว้อาลัยให้กับ ส.ว.ที่งดออกเสียงศปปส.หลบมุมในค่ายทหารอีกด้านหนึ่งก่อนหน้านั้นเวลา 11.30 น.กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ประมาณ 25 คน นำโดยนายอานนท์ กลิ่นแก้ว นำรถติดเครื่องขยายเสียงมารวมตัวอยู่บริเวณถนนในแฟลตกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน. 4 รอ.) ใกล้อาคารรัฐสภา ก่อนเคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือถึง ส.ว.ผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา ที่ฝั่งประตูทางเข้าสภาฯเพื่อคัดค้าน ส.ว.โหวตสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับพรรคก้าวไกล ที่จะแก้มาตรา 112ต่างชาติจับตาไทยปั่นป่วนด้านสำนักข่าวทั่วโลกต่างรายงานข่าวจับตาบรรยากาศการลงมติเลือกนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทยว่า จะใช่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ หลังความมุ่งมั่นของนายพิธาที่จะผลักดันนโยบายหัวก้าวหน้าและนโยบายที่ถูกมองว่าเป็นการต่อต้านสถาบัน ทำให้ผิดใจกับเครือข่ายอนุรักษนิยมและตระกูลนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการเมืองไทยมานานหลายทศวรรษ ท่ามกลางความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยอาจเกิดความปั่นป่วนรอบใหม่ หากนายพิธาไม่ได้รับคะแนนโหวตมากพอที่จะเป็นนายกฯ สิ่งที่น่าจับตาหลังจากนี้คือกลุ่มพันธมิตรการเมืองที่จับขั้วกับพรรคก้าวไกล จะสามารถเคลียร์ความไม่ลงรอยภายในกันได้หรือไม่ เพื่อที่จะผลักดันให้มีการลงมติเลือกนายกฯรอบต่อไปในวันที่ 19 ก.ค.หรือเสนอชื่อนายกฯคนอื่น