วันนี้วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 เป็นวันสำคัญอีกครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย อาจเป็นวันชี้ชะตาประชาธิปไตยไทย จะเดินหน้าต่อไป หรือจะถอยหลังเข้าคลอง เพราะเป็นวันที่รัฐสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้ที่ 8 พรรคเสนอตัวเข้าแข่งขันเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี หลังจากที่กลุ่มพรรคฝ่ายเสรีนิยมชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอย ได้ ส.ส.อย่างน้อย 312 ที่นั่ง ขณะที่พรรคที่สืบทอดอำนาจจากคณะรัฐประหาร คือพรรคสองลุงสองพรรคได้มารวม 76 ที่นั่ง แม้จะนับรวมพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด ก็ได้แค่ 188 ที่นั่ง กลุ่มผู้ชนะมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลแต่ยังขาดอีก 64 เสียงจึงจะได้ เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ของทั้งสองสภาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญพิสดาร เป็นผลิตผลของประชาธิปไตยไทย ที่ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด เพราะติดอยู่ในวงจรน้ำเน่าการเมือง ที่เริ่มต้นด้วยรัฐประหาร การฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญเก่า ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ การจัดตั้งรัฐบาล และวนสู่รัฐประหารไทยจึงกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาการเมือง เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง เผด็จการบ้าง เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองหลังไทย แต่กลายเป็นประชาธิปไตยที่พัฒนาทั้งๆที่ไทยไม่ได้ด้อยหน้าใคร ในกลุ่มเพื่อนบ้าน ทั้งด้านการศึกษาและด้านเศรษฐกิจ แต่ฝ่ายอำนาจนิยมดูเหมือนจะไม่เลื่อมใสในประชาธิปไตย และทำตัวเป็นอภิชนอยู่เหนือกฎหมาย เช่น ห้ามคน อื่นแตะมาตรา 112 ทั้งๆที่คณะรัฐประหาร 2519 เคยแก้ไขเพิ่มโทษจากจำคุกไม่เกิน 7 ปี เป็นจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปีฝ่ายอำนาจนิยมยังชอบฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งบ่อยๆ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ ทั้งที่เป็นการกระทำที่ผิด ป.อาญามาตรา 113 เป็นความผิดฐานกบฏ มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ส่วนประชาชนที่เสนอแก้ ม.112 ให้ดีขึ้น กลับถูกยัดข้อหาล้มล้างการปกครอง ล้มล้างสถาบัน อย่างที่นายพิธากับพรรค ก.ก.โดนอยู่ขณะนี้วันนี้จะเป็นวันชี้ชะตาประชาธิปไตย ไทยจะสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดและเดินหน้าต่อไปตามเสียงประชาชนเกือบ 30 ล้านคนได้หรือไม่ ส.ส.กับ ส.ว. เป็นผู้ตัดสิน แม้ ส.ว.จะมาจากการแต่งตั้งของ คสช.แต่เป็นเสรีชนตามรัฐธรรมนูญที่ว่า “ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ หรือความครอบงำใดๆจึงเป็นเสรีชน”.