จนถึงวันสุดท้ายก่อนการออก เสียงลงมติ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่มีใครแน่ใจว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะสอบผ่านหรือไม่ ถึงแม้ 8 พรรคจะรวบรวม ส.ส.ได้ 312 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ทั้งหมด แต่ยังขาดอยู่อีก 64 เสียง ที่หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.บทถาวรของรัฐธรรมนูญ 2560 ม.159 ระบุว่าสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจให้ความเห็นชอบการเลือกนายกรัฐมนตรี ด้วย ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง คือ 251 เสียงขึ้นไป แต่มีบทเฉพาะกาล ม.272 กำหนดไว้ว่าใน 5 ปีแรก ให้รัฐสภาคือ ส.ส. และ ส.ว. ร่วมกันเลือกนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเกินกึ่งหนึ่งคือ 376 เสียงมาตรา 272 เป็นบทเฉพาะกาล เพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารใช้กันมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ให้มีสภาเดียว คือสภาผู้แทนราษฎร แต่มี ส.ส. 2 ประเภท ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้ง ประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งส.ส.ประเภทที่ 2 อาจเทียบได้กับ ส.ว. มีจำนวนเท่ากับ ส.ส.ประเภทที่ 1 และมีอำนาจเท่าเทียมกัน คณะราษฎรชี้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่จบ ป.4 จึงให้มี ส.ส.ประเภทที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว กลับแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืดบทเฉพาะกาลอีก 10 ปี เท่ากับประชา ธิปไตยล้าหลัง 10 ปีเมื่อหมดบทเฉพาะกาลแล้ว รัฐบาลต่างๆยืดบทเฉพาะกาลออกไปเรื่อยๆ เพื่อให้ ส.ส. ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น ส.ว. เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ รัฐธรรมนูญ 2521 ฉบับประชาธิปไตยครึ่งใบ ส.ว. มีอำนาจเท่าเทียม ส.ส. ตามบทเฉพาะกาล 4 ปี แต่เมื่อครบกำหนด ส.ว.ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขในจังหวะทีเผลอ ของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย จึงแก้ไขสำเร็จในวาระที่ 1 แต่พรรคฝ่ายประชา ธิปไตยจับมือกันตีโต้ ทำให้ร่างแก้ไขตกไป นำประเทศกลับสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ก็ยังล้มลุกคลุกคลานจนถึงปัจจุบัน คณะรัฐประหาร คสช. ก็ใช้สูตรเดิมๆ คือใช้รัฐธรรมนูญ และ ส.ว. เพื่อสืบทอดอำนาจรัฐบาล คสช. อยู่ในอำนาจกว่า 9 ปี ทั้งในช่วงเผด็จการเต็มใบและครึ่งใบ แต่ ส.ว.ยังมีบทบาทสำคัญในทางการเมือง อย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในขณะนี้ กว่า 91 ปี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมาชิกรัฐสภาเล่นบทขวางประชาธิปไตยที่มาจากการแต่งตั้ง ส่วนใหญ่เล่นบทขวางการพัฒนาประชาธิปไตยและเป็นกลไกสืบทอดอำนาจ.