สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ โดยมีปฏิบัติการตีโต้ของกองทัพยูเครนเป็นจุดชี้วัดเกมจะเดินต่อเช่นไรขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของปฏิบัติการรุกคืบ ยูเครนจะทวงคืนดินแดนได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งตามแผนของรัฐบาลยูเครนที่หารือกับนายวิลเลียม เบิร์นส์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางแห่งชาติสหรัฐฯ (CIA) ระบุว่า ต้องการยึดพื้นที่กลับมาในระดับที่ “คาบสมุทรไครเมีย” ตกอยู่ในระยะยิงของอาวุธยาวยูเครนหวังใช้ไครเมียเป็น “ตัวประกัน” สร้างเงื่อนไขต่อรองให้รัสเซียเปลี่ยนรายละเอียดของการเจรจาสันติภาพ เลิกยืนกระต่ายขาเดียวว่า คนที่คุ้มกะลาหัวยูเครนคือรัสเซียเท่านั้น มิใช่ชาติตะวันตกสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือคำว่า “เจรจา” เริ่มถูกหยิบยกมาพูดถึง จากเดิมที่ยูเครนนั่งยันนอนยันว่าจะต้องชนะอย่างหมดจด ดินแดนที่สูญเสียไปตั้งแต่ปี 2557 จะต้องกลับคืนสู่อ้อมอก หลังมีสัญญาณไม่สู้ดีจากลูกพี่ใหญ่ “สหรัฐอเมริกา” มากขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นการพลิกวลี “เราจะช่วยยูเครนตราบนานเท่านาน” กลายเป็น “เราทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว” หรือการชี้นิ้วว่าเหตุการณ์ระเบิดท่อก๊าซธรรมชาตินอร์ดสตรีมในทะเลบอลติกน่าจะเป็นฝีมือของยูเครน ไม่ใช่ฝีมือสหรัฐฯตามที่อดีตสื่ออาวุโสเดอะนิวยอร์กไทม์สเคยออกมาแฉเป็นฉากๆ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา นิตยสาร “นิวส์วีค” ของสหรัฐฯ เผยแพร่บทความปะติดปะต่อเรื่องราวจากการเก็บข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับในวงการข่าวกรองสหรัฐฯและต่างประเทศเป็นเวลา 3 เดือน ยืนยันว่า หน่วยข่าวกรอง CIA สหรัฐฯ ได้มีการติดต่อทางลับกับฝ่ายรัสเซียตั้งแต่ก่อนเริ่มสงคราม โดยมีการกำหนด “สัญญาใจ” กันไว้ว่า สหรัฐฯจะไม่รบกับรัสเซียโดยตรงและจะไม่ดำเนินการใดๆเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลรัสเซีย ขณะที่รัสเซียก็จะมีขอบเขตในการโจมตียูเครน เพื่อไม่ให้สงครามลุกลามบานปลายขณะที่รัฐบาลเคียฟ ยูเครน ก็มีสัญญาใจเช่นกันว่าจะยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐฯ ในเรื่องจำกัดการโจมตีดินแดนของรัสเซียโดยตรง แม้รู้ดีว่าย่อมเสียเปรียบในเรื่องที่รัสเซียสามารถยิงถล่มยูเครนได้อย่างไร้การสกัดกั้น...ทั้งหมดก็เพื่อแลกกับ “อาวุธยุทโธปกรณ์” และ “ข่าวกรอง” ที่สหรัฐฯจะมอบให้อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ตามมาคือสัญญาใจของฝ่ายยูเครนเหมือนจะอยู่ได้ไม่นานเท่าไรนัก เพราะมีการโจมตีรัสเซียโดยตรงเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโจมตีสะพานไครเมีย ระเบิดท่อก๊าซนอร์ดสตรีม การถล่มฐานทัพอากาศรัสเซีย ไปจนถึงการโจมตีพระราชวังเครมลิน วันที่ 3 พ.ค. ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้รัฐบาลยูเครนปฏิเสธสำหรับหน้าที่หลักๆของ CIA ในยูเครนนั้น ประกอบด้วย 1.การต่อสู้ไล่ล่าเครือข่ายข่าวกรองของรัสเซียที่ฝังรากลึกทั้งในยูเครนและชาติยุโรป หลายครั้งสิ่งที่ยูเครนแจ้งเรา ทางรัสเซียก็จะรับรู้ด้วย2.การดำเนินภารกิจแทนกองทัพสหรัฐฯเพื่อให้รัฐบาลปฏิเสธได้อย่างเต็มปาก เช่น การสร้างเครือข่ายส่งอาวุธช่วยเหลือยูเครน ขนย้ายยุทโธปกรณ์ต่างๆจากสหรัฐฯมาพักไว้ที่ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และโปแลนด์ จากนั้นจึงลำเลียงเข้าสู่ยูเครนด้วยรถบรรทุก รถไฟ หรือเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งเส้นทางและจุดพักต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด เพราะมั่นใจว่ากองทัพรัสเซียจะปฏิบัติการโจมตีอย่างแน่นอนหากรู้พิกัดที่แน่ชัด และ 3.การต่อสู้กับขบวนการคอร์รัปชันในยูเครนที่โยกย้ายถ่ายเทอาวุธ หรือถึงขั้นลักขโมย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาหนักนี่คือสิ่งที่หน่วยข่าวกรอง CIA ต้องพยายามสร้างสมดุล แต่ในระยะหลังฝ่ายยูเครนเริ่มลิ้มรสความเป็นไปได้ที่จะได้รับ “ชัยชนะ” จึงเริ่มที่จะมีความกล้าเสี่ยงมากขึ้น จนนำไปสู่พฤติกรรมกระตุกหนวดเสือ ดำเนินการโจมตีเป้าหมายนอกดินแดนตามที่ระบุมาขั้นต้น...ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นทาง CIA ไม่ได้รับรายงานแต่อย่างใดมีคอมเมนต์จากหน่วยข่าวกรองโปแลนด์ว่า CIA สหรัฐฯไม่เข้าใจเนื้อแท้ของรัฐยูเครน และในกลุ่มการเมืองของยูเครนเองก็มี “ขั้วหัวรุนแรง” อยู่มาก ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะทำให้ยูเครนยอมปฏิบัติตามสัญญาใจ ซึ่งกรณีนี้แหล่งข่าวระบุกับนิวส์วีคเพียงว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯกำลังทำงานหลายหน้า ขอชั่งใจที่จะพูดว่า CIA ทำงานล้มเหลวในยูเครน แต่สิ่งที่รัฐบาลยูเครนกำลังดำเนินการอยู่อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์อันหายนะทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นคำถามว่า สถานการณ์ความสัมพันธ์ยูเครน-สหรัฐฯกำลังอยู่จุดไหน ทำไมสหรัฐฯถึงออกมาส่งสัญญาณเหมือนกับว่าคุมยูเครนไม่อยู่ รูปการณ์มันกำลังย้อนรอยวงล้อประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลสหรัฐฯเคย “ตัดหางปล่อยวัด” ผู้นำประเทศมาแล้วมากมายหรือไม่ และนี่คือเหตุผลหรือเปล่าว่าทำไมนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ถึงพยายามเดินสายต่างประเทศอย่างไม่หยุดหย่อน และให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่ายูเครนไม่เคยมีความลับกับ CIA เราทำงานร่วมกัน หารือเรื่องที่สำคัญกันทุกอย่าง!?วีรพจน์ อินทรพันธ์