การเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค.ที่คนไทยต่างใจจดใจจ่ออยู่ในขณะนี้ อาจเป็นด่านหินที่สุด สำหรับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะจะต้องได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.อย่างน้อย 64 เสียง จึงจะเกินกึ่งหนึ่ง ของทั้งสองสภา คือ 376 เสียงขึ้นไป แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะหินยิ่งกว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นบทเฉพาะกาล ระบุว่าใน 5 ปีนับแต่มีรัฐสภาชุดแรก การเลือกนายกรัฐมนตรีให้ลงมติในที่ประชุมรัฐสภา คือสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา ต้องได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่ง แต่ใช้อยู่นานแค่ 5 ปี จากนั้นก็จะสิ้นสุดลง เมื่อ ส.ว.ครบวาระในเดือน พ.ค.ปีหน้าแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 2560 ไม่ใช่บทเฉพาะกาล แต่เป็นบทถาวรมีผลใช้บังคับตลอดไป ตราบเท่าที่รัฐธรรมนูญ 2560 ยังไม่ถูกแก้ไข หรือถูกฉีกทิ้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเสนอโดยคณะรัฐมนตรี หรือ ส.ส.ตั้งแต่ 1 ใน 5 หรือ 100 คนขึ้นไป และต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภานั่นก็คือจะต้องผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมร่วม 2 สภา วาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 376 คะแนนขึ้นไป แต่มีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่ง ในคะแนน เสียงที่เห็นชอบนี้ “ต้องมี ส.ว.เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3” ของ ส.ว.ทั้งหมด คือ 84 เสียงขึ้นไป มิฉะนั้นร่างจะตกไปถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล และขอแก้ไขรัฐธรรมนูญตามสัญญาที่ให้ไว้ในขณะหาเสียง ร่างแก้ไขในวาระแรก จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว.อย่างน้อย 84 เสียง มิฉะนั้นจะตกไป แม้จะได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส.หมดทั้งสภา 500 คน ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ นี่คือแนวคิดอำนาจนิยมในวาระที่สาม วาระสุดท้าย ร่างแก้ไขก็ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว.อย่างน้อย 84 เสียงเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นร่างต้องตกไป นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่พิกลพิการที่สุด เป็นระบอบที่ไม่เคารพเสียงประชาชน การแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตัดสินกันด้วย ส.ว.ที่มาจากแต่งตั้ง 84 เสียงไม่ได้ชี้ขาดกันด้วยเสียงประชาชน กว่า 50 ล้านคน ที่เลือก ส.ส. 500 คน เป็นผู้แทนปวงชน ฝ่ายอำนาจนิยมไม่ได้ถือว่าการเลือกตั้ง คืออำนาจของประชาชน แต่ถือว่าการเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรม เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่อำนาจ ที่ยึดเอาไปจากประชาชน กลไกสำคัญคือรัฐธรรมนูญ และ ส.ว.แต่งตั้ง.