การเมืองโลกคุกรุ่น การเมืองไทยอึมครึม ปัจจัยภายนอกบีบรัด ปัจจัยภายในกดทับ เศรษฐกิจป้วนเปี้ยนปากเหวชะตากรรมประชาชนตาดำๆถูกแขวนอยู่บนเกมอำนาจและบ่วงบาศความขัดแย้ง พ่วงด้วยผลประโยชน์ของนักการเมืองแบบไทยๆไม่อาจคาดเดาอนาคต มองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ถึงตรงนี้ผ่านมา 46 วันเข้าไปแล้ว หรือเดือนครึ่งนับจากเลือกตั้งใหญ่ 14 พฤษภาคม ยังไม่ชัวร์เลยว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรเห็นแค่ภาพเลือนๆของ “รัฐบาลแห่งความฝัน”นั่นก็ไม่ต้องพูดถึง “นายกรัฐมนตรี” ที่เต็งจ๋า “ม้าตีนต้น” อย่าง “หนุ่มทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องเผชิญสารพัดเครื่องกีดขวางส่อแวว “ยางแตก” ก่อนถึงเส้นชัยโดยเฉพาะวิบากสาหัส แบบที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีคำสั่งให้อัยการสูงสุดเร่งพิจารณา รับฟ้องหรือไม่รับฟ้องกรณีทนายความของนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีต “พุทธะอิสระ” แกนนำม็อบ กปปส.ขอให้พิจารณานโยบายหาเสียงของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเดินหน้ารื้อประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112ละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่โทษถึงขั้นยุบพรรค แถมโดนแบน ตัดสิทธิการเมืองยาวเส้นทางบังคับไหล “เข้าเงี่ยง” สุ่มเสี่ยงโดน “ล้างกระดาน”สัญญาณสกัดเด็กห้าว ก้าวล่วงแดนอันตรายปม 112 “จุดตาย” ของหัวขบวน “ด้อมส้ม” และกองทัพก้าวไกล ที่เบียดแรงแซงโค้ง ตัดหน้าสารพัดวิบาก ดุจชนักปักหลังทะลุกลางอก “พิธา” ไล่ตั้งแต่คดีถือครองหุ้นสื่อ “เศษซากไอทีวี” พ่วงด้วยปัญหาการขายที่ดินมรดกที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์พันเป็นตาข่ายมัดหัว มัดท้าย แก้ยังไงก็รอดลำบาก จากพันธนาการ “ผู้นำในจินตนาการ” ของ “รัฐบาลแห่งความฝัน” ท่าจะจอดตั้งแต่ป้ายแรก ด่านอรหันต์ “250 ส.ว.ลากตั้ง” ที่ต้องเติมตัวเลขในสมการอีกอย่างน้อย 64 เสียง ให้ครบ 376 เสียง ขบวนหามแห่ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมร่วมรัฐสภานาทีนี้ยังไม่มีแม้แต่ “เสียงเดียว” ของ ส.ว.ที่การันตีได้เทียบเคียงอาการของ ส.ว.ลากตั้งสาย “บ้านนอก” ที่ออกตัวหนี “เกมล่าแม่มด” บอกโหวตให้ “พิธา” หนี “ด้อมส้ม” ตามถล่ม กับอารมณ์ของ ส.ว.ลากตั้งสาย “ตัวตึง” ท้าสหบาทา อย่างนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายสมชาย แสวงการ ฯลฯไปยัน “ตัวเป้ง” อย่าง พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ เพื่อนรักร่วมรุ่นของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ไล่ส่งทีมก้าวไกล ไปหาเสียงเอาข้างหน้า อย่าหวังแต้ม ส.ว.โทนน้ำเสียงมัน “หนักแน่น” แตกต่างกันมากและน่าจะถึงจุดที่ต้องยอมรับสภาพความจริงกันแล้วว่า ยากจะลุ้นให้หมาออกลูกเป็นลิงวัดจากระดับน้ำเสียงของ “หนุ่มทิม” ที่แข็งกร้าวใส่ “ส.ว.ลากตั้ง” ต้องโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตามน้ำมติสภาผู้แทนราษฎร หลักการเดียวกับการลงคะแนนเลือก “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ เมื่อปี 2562ห้ามฝืนมติของมติมหาชนที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งแม่ทัพก้าวไกลส่งสัญญาณ “ติดดาบ” ตะลุมบอนในสนามรบ “นิติสงคราม” ที่รู้อยู่แก่ใจว่า แพ้ค่อนข้างแน่ แต่โดยยุทธการก็ต้องสร้างความเสียหายขยี้แผลฝ่ายตรงข้ามให้ “เข้าเนื้อ” มากสุดเท่าที่จะมากได้ในเมื่อบทพินอบพิเทาไม่ได้ผล โหมดการเมืองแบบไทยๆยังไม่ปกติ เงื่อนไขสถานการณ์อำนาจยังสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไฟต์บังคับขวัญใจ “ด้อมส้ม” ต้องเล่นบทห้าวเป้งไม่งอนง้อใครให้เสียเวลา เสียเชิง เสียอารมณ์แนวร่วมขืนเดียงสา มัวแต่โลกสวย จะแพ้เดิมพันทั้งกระดานตามสถานการณ์ช่วงชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ยังลูกผีลูกคน มันก็ไม่แปลกที่จะได้เห็นอาการพร้อมชนของพรรคก้าวไกล ในการปักหมุดยึดเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร“มัดมือชก” โดยไม่ต้องรอมติที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาลโดยการร่อนชื่อแคนดิเดตอย่างนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ผู้แทนฯ 2 สมัย ล็อกเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติชิงรวบรัด “ปาดหน้า” ทีมนายห้างดูไบที่ยึกๆ ยักๆ อาการของพรรคเพื่อไทยที่ชักเข้าชักออก จากที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค เคยบอกเป็นโควตาของพรรคอันดับหนึ่ง แต่พอถึงชั้นมติของคณะกรรมการบริหารพรรคกลับพลิกเป็นสูตร 14 บวก 1 แบ่งเค้กรัฐมนตรี พ่วงเก้าอี้ประธานสภายื่นหมู ยื่นหมา เปิดเกมเขี้ยวต่อรองวัดใจกับทีมเด็กท่ามกลางเสียงเร้า กระแส “พ่อมดดำ” นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร โดดเด่นขึ้นมาเป็นแคนดิเดตพร้อม “แต้มต่อ” รอรับเกม “ฟรีโหวต” กรณีว่าที่พรรครัฐบาลวงแตกตามรูปเกมที่อ่านไต๋กันง่ายๆ ทีมนายห้างดูไบต้องการล็อกเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เผื่อสถานการณ์พลิกขั้ว ต้องจัดสมการรัฐบาลใหม่เพราะอ่านทะลุ ยังไงขบวนแห่ “พิธา” ก็ไปไม่ถึงสวรรค์ถ้ายึดเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้ ก็เท่ากับเพื่อไทยถือดุลอำนาจต่อรองไว้เต็มกำมือแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ว่ากันตามไฟต์บังคับ ถือว่าพรรคก้าวไกลจำเป็นมากกว่าในการที่จะล็อกประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเอาไว้ให้ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องเก้าอี้นายกฯ แต่มันส่งผลถึงการผลักดันกฎหมายสำคัญ ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะเรื่องการเดินหน้ารื้อมาตรา 112กองทัพส้มต้องยึดประธานสภาให้ได้ ยังไงก็ไม่ถอยแน่เพราะถึงจะแพ้เกมโหวต ในสภา ไม่ได้ทั้งนายกฯ และประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ยังเป็น “สารตั้งต้น” ลากไปแห่กระแสในการเลือกตั้งรอบต่อไปได้สบายๆและนั่นก็น่าจะเป็นเหตุที่ทีมนายห้างดูไบตีธงส่งสัญญาณถอย ไม่แข่งบี้ชิงประธานสภาแต่มันก็ยังเป็นอะไรที่ยังขัดกับหลักความเป็นจริงอยู่เยอะ ตามกระแสที่ปล่อยออกมาให้เหตุผลว่า พรรคเพื่อไทยยอมหลบ มอบเก้าอี้เบอร์หนึ่งสภาให้พรรคก้าวไกล แลกออปชันข้ามช็อต ถ้า “พิธา” ไม่ผ่านด่าน “250 ส.ว.ลากตั้ง” ทีมสีส้มก็ต้องหลบทีมนายห้างดูไบยึดเก้าอี้นายกฯเป็น “รัฐบาลแห่งความฝัน” กอดคอกันไป 8 พรรคเหมือนเดิมในเครื่องหมายคำถาม ตามสูตรเก่า 8 พรรค 312 เสียง ต่อให้พรรคเพื่อไทยสลับมาเป็นแกนนำ จะเอาตัวเลขเพิ่มจากไหนอีก 64 เสียง เพื่อให้ครบ 376 คะแนน แห่นายกรัฐมนตรีเมื่อยังมีก้าวไกลเป็น “สมการล็อกตาย” ห้ามย้ายข้าง ไม่มีทางที่ ส.ว.ลากตั้งจะโหวตให้ หรือหันไปกวักมือเรียกพรรคการเมืองอะไหล่ อย่างค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ถึงอยากแบะท่าให้เสียบ ก็ยากกลืนน้ำลายเพราะประกาศไว้แล้ว ไม่ร่วมกับพรรคที่จ้องรื้อ ม.112ถึงตรงนี้ ต้องยอมรับสภาพ ด้วยเงื่อนไขย้อนแย้ง บนร่องรอยแตกแยกศึกพลิกขั้วอำนาจ เส้นทางของรัฐบาลแห่งความฝัน พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ลากไปต่อลำบากต่างคนต่างมุ่ง เดินหมากข้ามช็อตกันซะมากกว่า.“ทีมการเมือง”