เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศของความร่วมมือระหว่างโลกอาหรับกับจีนดูเหมือนจะขยับใกล้ชิดกันมากขึ้น...กระทรวงการลงทุนซาอุดีอาระเบียประกาศแผนการเปิด “เส้นทางสายไหมยุคใหม่” ระหว่างประเทศอาหรับและจีน เพื่อช่วยให้ซาอุฯขยายเศรษฐกิจและพัฒนาทักษะคนรุ่นใหม่โดยเป็นผลลัพธ์จากการประชุมธุรกิจอาหรับ-จีน ครั้งที่ 10 ในกรุงริยาด ทั้งฝ่ายซาอุฯ และจีนยังมองร่วมกันว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน ได้ขยายจากพลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมไปสู่สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงานทดแทน แร่ธาตุ ไปจนถึงห่วงโซ่อุปทาน การท่องเที่ยว และการดูแลสุขภาพนอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจของทั้งสองภูมิภาคยังมีการลงนามข้อตกลงกว่า 30 ฉบับ ซึ่งไชน่า มีเดีย กรุ๊ป CMG สื่อหลักของจีนระบุด้วยว่า มีมูลค่ากว่า 70,000 ล้านหยวน หรือกว่า 340,474 ล้านบาทเช่นเดียวกับสื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ที่รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงการลงทุนและรัฐมนตรี ต่างประเทศซาอุดีอาระเบียต้องการเยือนจีนโดยเร็วที่สุด และตั้งตาที่จะกระชับความสัมพันธ์กับจีนโดยมองว่าในเมื่อรัฐบาลซาอุดีอาระเบียกำลังดำเนินการพัฒนาตามแผนการ “วิสัยทัศน์ 2030” ยกเครื่องเศรษฐกิจซาอุฯใหม่ภายในปี 2573 และรัฐบาลจีนกำลังดำเนินตามโครงการข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (BRI) จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่ทั้งสองฝ่ายควรจะทำงานร่วมกัน เพราะซาอุฯต้องการร่วมมือมากกว่าแข่งขันกับจีนการประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง ซาอุฯ-จีน เป็นที่น่าสังเกตว่ามีขึ้นหลังจากพันธมิตร เก่าแก่สหรัฐฯส่ง รมว.ต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน เยือนซาอุฯเป็นเวลา 3 วัน เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นการเยือนที่พังมิเป็นท่า เพราะข่าวที่ปรากฏคือ เป็นการเยือนที่สหรัฐฯไปเปิดประเด็น “สิทธิมนุษยชน” กับเจ้าชายมุฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี ตามด้วยภาพคู่ที่ทางซาอุฯไร้ซึ่งรอยยิ้มและไม่นานหลังจากนั้น สื่อวอชิงตันโพสต์ ก็อ้างเอกสารราชการว่า เจ้าชายบินซัลมาน เคยตรัสอย่างมีพระอารมณ์มาสักพักใหญ่แล้วว่า จะไม่มีการดีลอะไรกับรัฐบาลสหรัฐฯชุดนี้อีกต่อไป รูปการณ์ทั้งหมดยิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า การเมืองโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป มิตรในวันวาน...อาจไม่ใช่ อีกแล้วในวันนี้.ตุ๊ ปากเกร็ด