เป็นสัปดาห์ของความอื้อฉาวที่ย่อมถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน หลังตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อำนาจสูงสุดของโลก ได้ถูกลดมนตร์ขลัง ทำให้หม่นหมองโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 77 ปี กลายเป็นอดีตผู้นำสหรัฐฯคนแรกนับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศที่ถูก “รัฐบาลกลาง” ของตัวเองดำเนินคดี ตั้งข้อหาอาญาเป็นจำนวนถึง 37 กระทง ซึ่งหากพบว่าผิดจริงอาจต้องจำคุกไปจนวันสิ้นอายุขัย ไม่รวมถึงค่าปรับอีกบานตะไทโดยเป็นความผิดฐานครอบครองเอกสารลับทางราชการที่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคง” เก็บไว้ภายในรีสอร์ตส่วนตัว “มาร์-อา-ลาโก” ในเมืองพาล์มบีช รัฐฟลอริดา และอดีตผู้นำทรัมป์ยังดำเนินการสมรู้ร่วมคิดขัดขวางการสอบสวนของสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางแห่งชาติ FBIถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการจารกรรมที่ถูกบัญญัติขึ้นมาในปี 2460 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ลงโทษการบริหารจัดการที่ผิดพลาดเกี่ยวกับเอกสารใดๆที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ ซึ่งสำหรับทรัมป์ที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2563 ถือว่ามีสถานะเป็นพลเรือน ไม่ได้รับอนุญาตให้ถือครองเอกสารลับทางราชการแต่อย่างใด ที่สำคัญกฎหมายยังมีความชัดเจนว่า บุคคลที่มีตรรกะเหตุผล ย่อมรู้ดีว่าเอกสารลับทางความมั่นคงที่ตนเองครอบครองอยู่นั้นสามารถสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติได้อย่างใหญ่หลวง ดังนั้น อัยการจึงไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นรับรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ตัวเอง กำลังถืออยู่อาจทำให้อเมริกาตกอยู่ในอันตรายด้วยเหตุนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับฟังคำแก้ตัวว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือครอบครองไว้โดยที่ไม่มีเจตนาจะเอาไปเผยแพร่ หรือส่งต่อให้ประเทศที่สามแต่อย่างใด สรุปให้เข้าใจง่ายๆคือแค่ครอบครองก็ถือว่ามีความผิด ไม่ต้องมาดูเจตนาว่าจะเอาไปทำอะไร ซึ่งรายงานข่าวระบุว่า ทีมอัยการจะเล่นงานทรัมป์ในเรื่องที่ว่าครอบครองเอกสารลับได้อย่างไร ทำไมถึงเก็บเอกสารไว้นานกว่า 1 ปี และเมินคำร้องหลายครั้งให้ส่งเอกสารคืนสำนักหอจดหมายเหตุทั้งนี้ กฎหมายว่าด้วยการจารกรรมของสหรัฐฯในอดีตเคยถูกนำมาใช้จัดการชาวอเมริกันที่เป็นสายลับให้ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นจูเลียสและอีเธล โรเซนเบิร์ก ที่จัดตั้งเครือข่ายสายลับโซเวียตในนครนิวยอร์ก อัลดริก เอเมส เจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลาง CIA และโรเบิร์ต แฮนส์เซน เจ้าหน้าที่ FBI ที่ลักลอบส่งข้อมูลให้โซเวียต ไปจนถึงโจนาธาน พอลลาร์ด ที่ถูกจับกุมฐานเป็นสายสอดแนมให้รัฐบาลอิสราเอลอย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวมักถูกนำมาใช้จัดการนักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต่อต้านการทำสงครามของสหรัฐฯตั้งแต่ยุคสงครามโลก จนถึงปัจจุบัน อย่างแดเนียล เอลส์เบิร์ก ที่นำเอกสารลับเพนตากอนมาตีแผ่ความดำมืด ของสงครามเวียดนาม จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ที่เผยแพร่เอกสารลับแฉภาพเบื้องหลังของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ที่เปิดโปงโครงการสอดแนมพลเมืองอเมริกัน ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ NSA ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์สก็รายงานด้วยว่า นับตั้งแต่ปี 2561 มีชาวอเมริกัน ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายจารกรรมเป็นจำนวนกว่า 12 คน สำหรับเอกสารลับทางความมั่นคงที่ทรัมป์เก็บไว้ในรีสอร์ตส่วนตัวนั้น มีรายงานว่าเป็นเอกสารลับหลายลำดับชั้น บางฉบับเขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามเผยแพร่ให้ต่างชาติโดยเด็ดขาด บางฉบับระบุว่าเปิดเผยได้เฉพาะเครือข่ายความมั่นคง “ไฟฟ์ อายส์” (สหรัฐฯ-อังกฤษ-แคนาดา-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) โดยเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ รายงานศักยภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯและต่างประเทศไปจนถึงรายงานจุดอ่อนของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรในกรณีที่ถูกโจมตีทางการทหาร แผนการตอบโต้ในกรณีที่ถูกต่างชาติโจมตี ข่าวบางกระแสระบุด้วยว่า เอกสารทั้งหมดมีจำนวนมากกว่า 300 ชุด ที่รวมถึงแผนการรุกรานต่างชาติ (ที่คาดว่าน่าจะเป็นอิหร่าน) และทรัมป์เคยเล่าให้บุคคลที่สามฟังด้วยว่า ตัวเองถือครองเอกสารลับเฉพาะและลับสุดยอด เสียดายตอนเป็นประธานาธิบดีน่าจะนำมาเปิดเผย แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้วกระนั้น บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์ต่างมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คือ “เกมการเมือง” เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ทรัมป์ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2567 เพราะก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย. ทรัมป์ก็ถูกตั้งข้อหาอาญาที่รัฐนิวยอร์ก ฐานปกปิดการชี้แจงทรัพย์สินจากกรณีใช้เงินปิดปากดาราหนังโป๊ สตอร์มี แดเนียลส์ ในช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2559 หวังกลบฝังเรื่องราวความสัมพันธ์ชู้สาวในอดีตพ่วงด้วยอารมณ์กองเชียร์ ปักใจเชื่อว่าใครๆก็น่าจะทำกัน เป็นผู้นำเอาเอกสารกลับไปอ่านที่บ้านผิดตรงไหน จนถึงขั้นมีการตั้งทฤษฎีกันว่า อาจเป็นเพราะทรัมป์ออกตัวแรงไปในเรื่อง “การต่อต้านสงคราม” กล่าวโจมตีว่าสงครามอิรักไร้ความชอบธรรม รัฐบาลแหกตาประชาชน พร้อมประกาศจุดยืนว่า สงครามยูเครนควรยุติ หากได้กลับมาเป็นผู้นำ เสียงปืน จะหยุดภายในเวลา 24 ชั่วโมงแม้การตั้งข้อหาทรัมป์จะเป็นไปตามกฎหมาย แถมเป็นคดีระดับหนังม้วนยาวที่ต้องรอชมต่อไปจนถึงปีหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสความขัดแย้งได้ถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว และแน่นอนงานนี้ย่อมมีคนพร้อมปั่น โหมเชื้อไฟให้ลุกลาม.วีรพจน์ อินทรพันธ์