ต้องถือว่าประเทศไทยเกิดสุญญากาศการเมือง และการบริหารประเทศ ภายใต้รัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจเต็ม ในขณะที่ยังตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้ หน้าข่าวเศรษฐกิจ “ไทยรัฐ” รายงานว่า ตามปกติโครงการประกันภัยนาข้าว จะเริ่มในเดือนพฤษภาคมทุกปี แต่ปี 2566 ไม่มีโครงการชาวนาต้องเสี่ยงภัยเองเหตุที่ไม่มีโครงการประกันภัยนาข้าวปีนี้ พูดกันซื่อๆว่า “เพราะไม่มีงบประมาณ” แม้กระทรวงการคลังจะของบไป 2,000 ล้านบาท แต่สำนักงบประมาณไม่เห็นด้วย เพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวการยุบสภา อาจเข้าข่ายใช้งบเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ทำให้ชาวนา 3.5 ล้านครอบครัวต้องเสี่ยงภัยในการปลูกข้าวกว่าชาวนาจะปลูกข้าว ได้ข้าวสาร มาเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศ และส่งไปขายนำเงินตราเข้าประเทศ ต้องเสี่ยงทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม และภัยธรรมชาติอื่นๆ ปีนี้ที่ประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า เดิมคาดกันว่าจะมีฝนตกน้อยกว่าปกติเพียง 5% เพราะปรากฏการณ์เอลนีโญเดิมคาดว่าฝนจะทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน ถึงกรกฎาคม อาจมีฝนตกหนักในเดือนสิงหาคมและกันยายน แต่ผลการติดตามล่าสุด คาดว่าฝนอาจทิ้งช่วงยาวถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ ทั้งเพื่อการเกษตร อุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรม อาจทำให้เศรษฐกิจเสียหาย 36,000 ล้านบาทเพื่อป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้น คณะกรรมการภาคเอกชนร่วม ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้จัดมาตรการป้องกันภัยแล้ง ทั้งเร่งด่วนและระยะยาว คณะกรรมการมองว่าภัยแล้งและน้ำท่วมเป็นต้นทุนการเสียโอกาสของประเทศ ต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบไม่ทราบว่ารัฐบาลประยุทธ์จะว่าอย่างไร หวังว่าคงจะไม่บอกปัดปัญหา เหมือนกับสำนักงบประมาณ กรณีประกันภัยนาข้าว เพราะขณะนี้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้วไม่ใช่ฤดูการหาเสียงอีกต่อไป อีกทั้งหน่วยราชการต่างๆก็ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เพียงแต่ว่าจะมีงบประมาณอย่างเพียงพอหรือไม่รัฐบาลรักษาการกลายเป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” หรือ “เป็ดขาหัก” ไม่มีอำนาจเต็มในการอนุมัติโครงการที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป แต่น่าจะมีอำนาจอนุมัติงบป้องกันภัยแล้ง ที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญได้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามเด็ดขาด แต่ให้ขออนุมัติจาก กกต.ได้ หวังว่าการแพ้เลือกตั้งคงไม่ถึงกับทำให้หมดกำลังใจ.