มาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. บัญญัติเอาไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้ว ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และ ปรับ ตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนดยี่สิบปีในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วยเมื่อตีความตามตัวบทกฎหมาย การให้อำนาจ กกต.ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยความผิดของนักการเมือง เพียงมีเหตุอันเชื่อได้ว่า หรือ ความปรากฏ ก็สามารถที่จะยื่นให้ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้วินิจฉัยได้โดยตรง ซึ่งต้องย้ำว่าเป็นอำนาจของ ศาลรัฐธรรมนูญ และมาตราดังกล่าวมีความพิเศษและใช้บังคับเป็นครั้งแรก คือ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยลงโทษ ทั้งจำคุกและปรับ และตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี เมื่อกฎหมายกำหนดว่า และ จึงจะต้องพิจารณาโทษ ทั้งจำและปรับ และตัดสิทธิทางการเมือง จะละเว้นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ ศาลอาญา พิจารณาลงโทษอีกชั้น ม้วนเดียวจบที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นคนละมาตรากับ 151 ตามประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 4 แสนบาทเมื่อดูคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.ตามมาตรา 42 ไม่ใช่เฉพาะ การถือหุ้นสื่อเท่านั้น มาตรา 42 บัญญัติว่าบุคคลต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (1) ติดยาเสพติด (2) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ (4) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช (5) อยู่ระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ (6) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (7) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (8) ต้องโทษจำคุกและถูกคุมขังโดยหมายศาล (10) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ (11) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุด เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือต้องโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการต้องคำพิพากษาของศาลรวมทั้งสิ้น 21 ข้อ จึงจัดว่า มาตรา 151 มีผลผูกพันตั้งแต่อดีตถึงอนาคต เป็นเครื่องจักรสังหารทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดเป็นนิติสงครามที่ไม่มีวันเอาชนะ.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th