เด็กถูกมัดมือมัดเท้ามัดปาก นอนในห้องน้ำ ขังในห้องมืด จับเด็กเล็กจุ่มลงท่อน้ำทิ้ง เตะเด็กตกบันได โกนหัวเด็ก เอารองเท้าตบหน้าเด็ก...ภาพสะเทือนใจที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ พร้อมระบุพฤติกรรมทารุณเด็กที่ว่าเกิดขึ้นจากพี่เลี้ยงเด็กในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งของรัฐเหตุการณ์ที่นำมาสู่การสั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทันทีในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี พร้อมคำสั่งให้พี่เลี้ยงที่ก่อเหตุหยุดปฏิบัติหน้าที่และแจ้งความดำเนินคดี และสั่งย้ายผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ดังกล่าวไปปฏิบัติราชการที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ในส่วนกลาง นายอนุกูล ปีดแก้ว“สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบต่อความรู้สึกของคนในสังคม ต้องยอมรับผิดและขอโทษสังคมอย่างยิ่ง ความคาดหวังของคนในสังคมที่ให้หน่วยงานรัฐดูแลช่วยเหลือเด็ก แต่กลับมาก่อปัญหา จึงต้องเร่งแก้ปัญหาทั้งระบบโครงสร้าง รวมถึงบุคลากร นำวิกฤติเป็นโอกาสที่จะต้องเคลียร์ทั้งระบบให้ชัดเจน” คำขอโทษจากใจของ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม.พร้อมกับการเรียกประชุมด่วนผู้บริหารทุกกรมเพื่อจัดการปัญหานายอนุกูล กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการที่มีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ เอ็นจีโอ มีนาย สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ เป็นประธาน เป็นทีมที่จะให้คำแนะนำออกแบบองค์กรใหม่ทั้งด้านกายภาพ มาตรฐานการดูแลเด็ก รวมถึงการพัฒนาทักษะและดูแลคุณภาพชีวิตบุคลากรทุกระดับ สิ่งสำคัญเด็กในสถานรองรับเกิน 50% เป็นเด็กที่มีครอบครัว แต่มีข้อจำกัดทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่ผ่านมายอมรับว่า พม.มีจุดอ่อนในการทำงานกับครอบครัว ต้องกลับมาทบทวนการทำงานเชิงลึกในการสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวให้มี คุณภาพชีวิตที่ดี มีทักษะ มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อคืนเด็กกลับสู่ครอบครัวในที่สุด โดยใช้กลไกคณะกรรมการคุ้มครองเด็กระดับจังหวัด กำหนดทิศทางการดำเนินการ เพื่อให้เด็กกลับคืนสู่ครอบครัวได้อย่างแท้จริง หรืออยู่ในความ ดูแลของชุมชน ท้องถิ่น มากกว่าการเคลื่อนย้ายเด็กข้ามถิ่นไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ “ตั้งเป้าหมายเปลี่ยนโฉมสถานสงเคราะห์ เด็กหญิงจังหวัดสระบุรีภายใน 100 วัน ให้มี มาตรฐานที่แท้จริงในการดูแลเด็ก เพื่อต้นแบบการดำเนินงานยกระดับสถานสงเคราะห์ทุกประเภททั่วประเทศ ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่งทั้งหมด 74 แห่ง ที่มีผู้รับบริการประมาณ 14,000 คน ในจำนวนนี้เป็นสถานรองรับเด็ก 33 แห่ง ที่มีเด็กในความดูแลประมาณ 4,000 คน มีพี่เลี้ยงดูแล 400 กว่าคน ในที่สุดแล้วสถานสงเคราะห์ต้องเล็กลง ลดลง ลดการให้ผู้รับบริการโดยเฉพาะเด็กเข้าสถานสงเคราะห์ เพื่อให้เด็กกลับไปอยู่กับครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่นที่มีศักยภาพให้มากที่สุด” นายอนุกูล กล่าวถึงความมุ่งมั่นหันมาฟังเสียงสะท้อน จากนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอต่างเห็นพ้องและสนับสนุนให้มีการรื้อระบบสถานสงเคราะห์หรือสถานรองรับต่างๆ ศ.ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ศ.ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ อาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ สะท้อนภาพว่า “หลายรัฐในสหรัฐ อเมริกาเลิกระบบสถานสงเคราะห์ 30-40 ปีแล้ว และไป เน้นระบบครอบครัว อุปการะหรือครอบครัวอุปถัมภ์ (foster home) แม้แต่ในญี่ปุ่น ระบบครอบครัวอุปการะไม่ได้ดูแลแค่เด็กแต่รวมไปถึงผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งด้วย แต่ประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่ ระบบครอบครัวอุปการะไม่มีความก้าวหน้า มีที่ดำเนินการอยู่คือสหทัยมูลนิธิ หากจะปฏิรูปต้องทำระบบสถานสงเคราะห์ให้มีขนาดเล็กลงจนกระทั่งไม่มีเลย และไปเพิ่มระบบชุมชนหรือครอบครัวอุปถัมภ์ ผ่านการสนับสนุนของรัฐ เป็นการช่วยเหลือที่คงสภาพแวดล้อมความเป็นครอบครัวได้ดีกว่าการนำเด็กมาอยู่ในสถานสงเคราะห์จำนวนมากๆ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลมีจำกัด 1 คน ต้องดูแลถึง 50 คน ย่อมเกิดภาวะเครียด และนำมาซึ่งการใช้กำลังความรุนแรงบังคับ หรือใช้เด็กโตขาดวุฒิภาวะดูแลน้อง แม้แต่ภาพที่เห็นให้คนมาเลี้ยงข้าวเด็กแล้วให้ยืนเข้าแถวร้องเพลงขอบคุณ เป็นภาพที่หดหู่แสดงถึงการลดทอนความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ พม.เน้นย้ำถึงความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน พม.ควรฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ให้กับกลุ่มเปราะบางทุกกลุ่มถ่ายโอน ให้ชุมชนและครอบครัวดูแล โดย พม.เป็นหน่วยส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งและคุณภาพให้กับชุมชนและครอบ ครัวอุปถัมภ์” นางทิชา ณ นครด้าน นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก เสนอแนะว่า “ในอนาคตประเทศไทยต้องไม่มีสถานสงเคราะห์โดยเด็ดขาด แต่ต้องวางแผนรองรับในหลายมิติ รัฐต้องออกแบบระบบใหม่ที่ตอบโจทย์ เปลี่ยนจากการนำเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการใส่เข้าไปในสถานสงเคราะห์แล้วกลายเป็นผักที่มีพัฒนาการช้า เป็นการหาครอบครัวอุปถัมภ์ หรือ foster home ให้กับเด็กเหล่านี้ โดยรัฐเข้าไปสนับสนุนงบประมาณแทนที่จะจ่ายผ่านสถานสงเคราะห์ก็ไปจ่ายผ่านครอบครัว ขณะเดียวกัน ต้องมีนักสังคม สงเคราะห์ เป็นพี่เลี้ยงติดตามดูแลเสริมทักษะต่างๆ จนกระทั่ง มั่นใจว่าเด็กปลอดภัยในบ้านหลังนั้น ระบบเช่นนี้สอดคล้องกับที่องค์การยูนิเซฟรณรงค์ให้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกไม่มีสถานสงเคราะห์แต่ใช้ระบบครอบครัวอุปถัมภ์แทน สำหรับแผนระยะสั้น สถานสงเคราะห์ทุกแห่งต้องมีคณะกรรมการที่มีชาวบ้านในชุมชน นักวิชาการ นักสังคมสงเคราะห์ และเอ็นจีโอเข้าไปร่วมกำกับดูแล และมีการหมุนเวียนเป็นวาระ เป็นหลักการใช้อำนาจร่วม ไม่ใช่ใช้อำนาจรัฐเพียงฝ่ายเดียวดูแล” นายจะเด็จ เชาวน์วิไลขณะที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มีมุมมองว่า “ปรัชญา พม.คือเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม แต่การปฏิบัติงานที่ผ่านมาย้อนแย้ง ยังยึดติดกับระบบอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์ บุคลากรเชี่ยวชาญก็มีจำกัด จึงนำคนที่ไม่ใช่วิชาชีพมาดูแลกลุ่มเปราะบางที่จำเป็นต้องใช้ทักษะการดูแล ทั้งใน 1 คนดูแลถึง 50-60 คน ส่งผลให้เกิดภาวะเครียดได้ ทั้งระบบอำนาจนิยมก่อให้เกิดพรรคพวก การตรวจสอบน้อย จึงเป็นช่องโหว่ให้เกิดปัญหาได้ ทางออกระยะแรกเสนอให้ใช้ระบบอาสาสมัครเข้าไปเสริมการทำงาน นอกจากช่วยแบ่งเบาภาระ ยังเป็นหนึ่งในกลไกช่วยตรวจสอบการทำงาน ส่วนระยะยาวควรลดบทบาทสถานรองรับถ่ายโอนให้ชุมชน ท้องถิ่นดูแลกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยสถานรองรับเป็นเพียงหน่วยสนับสนุนการทำงาน นอกจากนี้ พม.ต้องส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์มืออาชีพเข้าไปทำงานดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นระบบ”ทีมข่าวการพัฒนาสังคม เห็นด้วยกับการจัดการระบบดูแลกลุ่มเปราะบางทุกช่วงวัยให้มีคุณภาพ มาตรฐาน ยึดหลักการมีส่วนร่วมของผู้รับบริการและชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อสร้างระบบที่พึ่งพิงให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นได้อย่างแท้จริง. ทีมข่าวการพัฒนาสังคม