“นิติสงคราม” ทำท่าจะลุกลามบานปลาย แกนนำพรรคก้าวไกลรุมถล่มคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องกล่าวหานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถือหุ้นไอทีวี แต่ให้เตรียมฟ้องตาม พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ม.151 ฐานรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิแต่สมัคร ส.ส.นักวิเคราะห์การเมืองบางคน มองว่าการฟ้องคดีอาญาเป็นการ “จัดหนัก” รุนแรงกว่าการร้องเรื่องหุ้นสื่อ เพราะมีโทษอาญาจำคุก ตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 20 ปี นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ระบุมีจุดหมายการเมืองเพื่อทำลายพรรค ก.ก.ตามด้วยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล บอกว่านี่คือนิติสงคราม เอาชนักปักหลังไว้ก่อน มุ่งทำลายพรรคก้าวไกล เป็นการใช้กฎหมายที่ตั้งธงให้เป็นไปตามอำเภอใจของผู้มีอิทธิพล บางคนเชื่อว่าการฟ้องคดี อาญา จะกลายเป็นข้ออ้างของ ส.ว. เพื่อไม่เลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีมีคำถามว่า กกต. รู้ได้อย่างไร ว่านายพิธารู้ตัวว่าไม่มีสิทธิแต่สมัคร ส.ส. เพราะในขณะที่เขาเป็นผู้จัดการ มรดกบิดา และถือหุ้นไอทีวี เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่มีข้อห้ามผู้ถือหุ้นสื่อมวลชน เพิ่งจะมีข้อห้ามนี้หลังจากประกาศใช้รัฐธรรม นูญ 2560 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 และไอทีวีไม่ใช่สื่อมวลชนแล้วคำกล่าวของนายรังสิมันต์กับนายวิโรจน์ ที่กล่าวหา กกต. ว่ามุ่งทำลายพรรคก้าวไกล กลั่นแกล้งทางการเมือง เตะตัดขาการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไม่ให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องถือว่าเป็นการกล่าวหาองค์กรอิสระที่ค่อนข้างแรง แต่หวังว่าถ้าพรรคก้าวไกลต้องการเอาผิด กกต. ควรจะใช้วิถีทางรัฐธรรมนูญนั่นก็คืออาจทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. กล่าวหา กกต. จงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง เพื่อให้ ป.ป.ช. ไต่สวนและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองต่อไปน่าเป็นห่วงว่าการจัดตั้งรัฐบาลของกลุ่มพรรคเสรีที่ชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่เต็มไปด้วยอุปสรรค มีการกล่าวหาซึ่งกันและกัน ระหว่างกลุ่มผู้เห็นต่าง รวมทั้งปลุกระดมมวลชนเตรียมการชุมนุม หวังว่าทุกฝ่ายจะยึดแนวทางสันติ แก้ปัญหาตามรัฐ ธรรมนูญให้โอกาสประชาธิปไตยได้เติบโต.