นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเปิดกิจกรรมรณรงค์วันไข้เลือดออกอาเซียนว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นของไทยและอาเซียน ระบาดช่วงฤดูฝน คาดว่าตั้งแต่เดือน มิ.ย.ผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นทุกประเทศในอาเซียน จึงร่วมมือรณรงค์ป้องกันควบคุมโรค สำหรับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกยังเป็นเรื่องใหม่ ต้องผ่านหลายขั้นตอนให้เกิดความรอบคอบ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องดีที่ญี่ปุ่นพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกรุ่นใหม่ได้สำเร็จ กรมควบคุมโรค (คร.) ก็จะศึกษาข้อมูลก่อนนำมาใช้ ดังนั้นมาตรการควบคุมโรคที่ใช้อยู่ยังต้องทำต่อไป ได้แก่1.ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและชุมชน ต้องร่วมมือกันทุกบ้าน รวมทั้งโรงเรียน ศาสนสถานโรงงาน ซึ่งพบมีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายจำนวนมาก2.ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด3.เมื่อป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว มีอาการสำคัญคือไข้สูง คลื่นไส้ เจ็บแน่นที่ท้อง เมื่อไข้ลดก็เริ่มมีเลือดออกตามผิวหนัง ระยะหลังพบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมากขึ้น เป็นไม่กี่วันก็มีอาการรุนแรง ช่วงระบาดต้องระมัดระวังหากมีไข้สูงให้รีบพบแพทย์ แต่เนื่องจากไข้เลือดออกเกี่ยวข้องกับไข้หวัด โรคโควิด ระยะแรกอาการจะคล้ายกัน หากพบแพทย์ครั้งแรกแล้วไม่ดีขึ้นให้กลับไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะยังไม่มียาต้านไวรัสรักษาโดยตรง“หลังการระบาดโรคโควิด-19 คาดว่าปีนี้จะมีผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มสูงขึ้นในไทยและอาเซียน เพราะประชาชนมีภูมิต้านทานลดลง ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค. มีผู้ป่วยแล้ว 18,173 คน มากกว่าปีที่แล้ว 4.2 เท่า เสียชีวิต 15 คนหรือสัปดาห์ละ 1 คน คาดว่า มิ.ย.-ส.ค.ผู้ป่วยจะมีจำนวนสูงขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น เช่น ชลบุรี ระยอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ช่วงนี้เป็นช่วงระบาดถือว่าทุกจังหวัดเป็นพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเร่งรณรงค์ป้องกันทั้งประเทศ สร้างความตระหนักรู้ สร้างความร่วมมือของชุมชน นำเทคโนโลยี แอปพลิเคชันมาช่วยบันทึกข้อมูลแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และผู้ป่วยให้เชื่อมโยงกันจะทำให้เห็นภาพรวม” นพ.โอภาสกล่าวศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันเรามีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 2 ชนิด ชนิดที่ 1 เป็นวัคซีนที่มีแกนหลักเป็นไวรัสไข้เหลือง ป้องกันได้ 65% ป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 80% และวัคซีนชนิดที่ 2 มีแกนหลักเป็นไวรัสแดงกีสายพันธุ์ที่ 2 ป้องกันได้ 80% ป้องกันการนอน รพ.ได้ 90% โดยไทยมีใช้อยู่คือ ชนิดที่ 1 ส่วนชนิดที่ 2 เพิ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คาดว่าจะมีใช้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้ง 2 ชนิดเป็นวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ มีปัจจัยการใช้ต่างกัน หากจะรับต้องปรึกษาแพทย์.