โพสต์เรื่อง “สปิริตประชาธิปไตย Spirit of Democracy” ของ คุณอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการแชร์และกล่าวถึงด้วยความชื่นชม ผมก็หวังว่า พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง จะแสดงสปิริตประชาธิปไตยด้วยการยกมือสนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง 151 เสียง แม้ประชาธิปัตย์จะเป็น ฝ่ายค้าน ก็ตาม เพื่อโชว์สปิริตประชาธิปไตยให้พรรคการเมืองทหารดูเป็นตัวอย่างคุณอลงกรณ์ พลบุตร โพสต์ไว้ดังนี้ครับ“ประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองการปกครองที่เรียบง่ายและมีสปิริต ประชาชนเลือกตั้งเสร็จ ใครชนะก็เป็นรัฐบาล ใครแพ้ก็เป็นฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลชนะได้เสียงอันดับ 1 มีสิทธิและความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล โดยต้องรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นสิทธิของพรรคเพื่อไทยอันดับ 2 และพรรคภูมิใจไทยอันดับ 3 ในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ผมหวังว่าวุฒิสมาชิกจะสนับสนุนแนวทางนี้ของสภาผู้แทนราษฎรในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ให้ทำงาน 4 ปี ฝ่ายค้านทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาล แต่ละฝ่ายมีโอกาสทำงานเท่ากันในการพิสูจน์ผลงาน แล้วตัดสินด้วยคะแนนเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาธิปไตยต้องมีสปิริต รู้แพ้รู้ชนะเหมือนแข่งกีฬา ถ้าเราไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง แล้วเราจะให้ประชาชนมาออกเสียงลงคะแนนทำไม การยอมรับผลการเลือกตั้งเป็นหลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ที่น่าวิตกคือ มีการปล่อยข่าวเฟกนิวส์ ข่าวดีลลับ ข่าวฐานทัพอเมริกัน ข่าวอเมริกาหนุนหลัง ข่าวรัฐบาลแห่งชาติ ข่าวเลือกตั้งโมฆะ คลิป ปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง มุ่งดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามออกมาถี่ยิบ ทั้งในสื่อหลักสื่อโซเชียล เหมือนการปลุกผีคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ข่าวสารเหล่านี้สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยประชาธิปไตยไม่ได้สร้างด้วยความเกลียดชัง แต่ สร้างด้วยความเคารพในความเห็นต่างอย่างมีเหตุผล ด้วยสันติวิธีและขันติธรรม การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลหนึ่งสู่อีกรัฐบาลหนึ่งควรเป็นไปโดยราบรื่นและรวดเร็ว ประเทศกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ อย่าซ้ำเติมด้วยวิกฤติการเมือง หนทางเดียวคือ ช่วยกันทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้าตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยครับ”ผมเห็นด้วยกับ คุณอลงกรณ์ ระบอบประชาธิปไตยต้องมีสปิริต รู้แพ้รู้ชนะเหมือนการเล่นกีฬา วันนี้เล่นไม่ดีประชาชนไม่เลือก ก็ต้องขยันเล่นให้ดีขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประชาชนเลือก ไม่ใช่การปลุกระดมสร้างความเกลียดชังอีกฝ่าย ซึ่งเสียหายต่อชาติประเทศตุรกี เป็นตัวอย่างที่ดี มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 14 พฤษภาคม วันเดียวกับการเลือกตั้งไทย ผลการเลือกตั้งรอบแรกไม่มีใครได้เสียงเกิน 50% ทำให้ต้องเลือกตั้งรอบสองระหว่างผู้ที่ได้คะแนนอันดับ 1 กับอันดับ 2 มาแข่งกัน ใครได้เสียงเกิน 50% ก็เป็นผู้ชนะ การเลือกตั้งรอบ 2 มีขึ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม สองสัปดาห์หลังการเลือกตั้งรอบแรก ไม่เห็นต้องเตรียมการอะไรยืดยาวเสียเวลาเหมือนการเลือกตั้งเมืองไทยผลการเลือกตั้งรอบสอง ประธานาธิบดีเออร์โดกัน ได้คะแนนเสียง 52.18% เกินครึ่ง ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ครองอำนาจไปอีก 5 ปี ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจในตุรกีที่เงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 43.70% วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน นายเออร์โดกัน ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งไปเรียบร้อย แต่การเลือกตั้งเมืองไทย จนถึงวันนี้ กกต.ยังไม่ได้รับรอง ส.ส.เลยแม้แต่คนเดียว ลากยาวไปอีก 2-3 เดือน เกิดสุญญากาศอำนาจ สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของชาติมากมาย ทำแบบนี้สมัยหน้าประชาชนก็ไม่เลือกอีกแน่นอน.“ลม เปลี่ยนทิศ”