เป็นไปตามความคาดหมายทุกประการครับ สำหรับการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คือ ผู้ถูกอภิปรายทั้ง 10 ท่าน ได้รับคะแนน “ไว้วางใจ” เกินกึ่งทั้งหมดสำหรับท่านที่ถือว่าสอบได้ที่ 1 ครั้งนี้ก็คือ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คุณ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ได้รับคะแนนไว้วางใจสูงสุด 275 เสียงส่วนท่านที่ได้คะแนนน้อยที่สุดก็คือ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ได้รับความไว้วางใจ 258 เสียงในขณะที่นายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” ได้คะแนนไว้วางใจอยู่ที่ 272 เสียง ถือว่าอยู่ในอันดับที่ 3 เมื่อดูจากคะแนน แต่จะเป็นอันดับที่ 4 ในแง่ตัวบุคคล เพราะอันดับที่ 2 มี 2 ท่าน ได้รับคะแนนเท่ากันที่ 274 ได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผมก็ขออนุญาตบันทึกไว้พอสังเขปเท่านั้น เพราะรายละเอียดต่างๆสื่อมวลชนทุกแขนงได้เสนอข่าวไว้ครบถ้วนแล้วส่วนว่าการได้คะแนนมากคะแนนน้อยจะมีผลกระทบอย่างไรต่อท่านรัฐมนตรีที่ตกเป็นเป้าในการอภิปราย? จะมีการปรับ การเปลี่ยนรัฐมนตรีกันบ้างหรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไปผมเคยฝากข้อสังเกตไว้แล้วหลังการอภิปราย 2 วันแรก ว่าการอภิปรายครั้งนี้หนักหน่วงกว่าเท่าที่เคยได้ฟังมาในยุคก่อน...แต่ก็หนักในการใช้ถ้อยคำหรือสำนวนโวหารเสียเป็นส่วนมากในแง่เนื้อหาหรือหลักฐานต่างๆ ไม่ค่อยแน่นหนาเท่าไรนัก เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นการเรียบเรียงมาจากข่าวในสื่อมวลชนที่เราพอจะรู้ๆหรือได้ยินกันมาก่อนแล้วผมคิดว่าในการอภิปราย 2 วันหลัง เท่าที่ผมมีโอกาสฟังบ้าง บางช่วงบางตอน...ก็ยังมีความรู้สึกคล้ายๆกับ 2 วันแรกที่เขียนไว้แล้ว คือยังไม่มีใบเสร็จที่ชัดเจนถ้อยคำสำนวนของฝ่ายค้านยังคงดุดันรุนแรงอยู่เหมือนเดิม ถ้าผ่อนปรนลงบ้าง และหันมาเน้นเนื้อหาสาระมากกว่านี้อาจทำให้การอภิปรายน่าติดตามมากขึ้นฝ่ายรัฐบาลก็เช่นกัน การประท้วงเป็นเรื่องจำเป็นและบางเรื่องก็สมควรลุกขึ้นประท้วงอย่างยิ่ง...แต่การประท้วงที่บ่อยเกินไป และปลีกย่อยเกินไปทำให้ผู้ฟังรู้สึกรำคาญ และเป็นผลให้มองฝ่ายรัฐบาลในแง่ลบที่สำคัญตัว ส.ส.ที่ลุกขึ้นประท้วงควรจะหลากหลายกว่านี้...เพราะใช้อยู่แต่คนหน้าเดิม และบางคน บางท่าน เป็นข่าวหน้าหนึ่งบ่อยๆ แค่ได้ยินชื่อประชาชนก็ร้องยี้แล้ว เมื่อ ส.ส. 2-3 ท่านที่ว่านี้ลุกขึ้นประท้วงอยู่เรื่อยๆย่อมเป็นผลให้คะแนนของรัฐบาลติดลบไปด้วยเป็นเงาตามตัวอย่างไรก็ตาม...สำหรับในภาพรวมนั้น ผมต้องขอขอบคุณทุกๆฝ่ายที่ทำหน้าที่กันอย่างเข้มข้นตลอด 4 วันของการอภิปราย...หนักบ้าง เบาบ้าง มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยท่านนายกฯท่านก็แถลงแล้วว่า ข้อสังเกตข้อใดที่เป็นประโยชน์ท่านจะนำไปปฏิบัติ ส่วนข้อวิจารณ์โดยเฉพาะเรื่องคอร์รัปชันบางเรื่องท่านก็จะไปดำเนินการหาหลักฐานเพิ่มเติมในขณะที่ฝ่ายค้านก็ยืนยันว่า บางเรื่อง บางกรณี ที่มีหลักฐานชัดเจนก็จะนำไปร้องเรียน หรือนำไปแจ้งต่อองค์กรอิสระที่รับผิดชอบโดยตรงให้ดำเนินการต่อ เผื่อเอาผิดเอาโทษให้ถึงที่สุดผมคงไม่มีข้อสังเกตอะไรเพิ่มเติมมากกว่านี้ นอกจากจะกราบเรียนทั้ง 2 ฝ่ายไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม...ว่า...สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ หนักหนาสาหัสมาก...หนักที่สุดเท่าที่คนอายุย่าง 80 ปีอย่างผมจะเคยพบพานมาก็ว่าได้จำเป็นที่ทุกๆฝ่ายจะต้องหันหน้าเข้าหากันช่วยกันแก้ปัญหาคนละมือคนละไม้ จึงจะสามารถเอาชนะสงครามเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ผมเข้าใจดีว่ามุมมองของฝ่ายค้านและรัฐบาลนั้นแตกต่างกันมาก แต่ถ้าผ่อนปรนเข้าหากันบ้าง ก็จะทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจอันใหญ่หลวง มีหนทางสำเร็จมากขึ้นรักกันไม่ได้ก็อย่าเกลียดกันจนถึงขั้นไม่มองหน้ากันหรือฟาดฟันกันทุกจังหวะทุกนาที จนไม่มีเวลาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็แล้วกัน--เดี๋ยวจะพังกันหมดทั้งประเทศ--ขอฝากไว้เท่านี้แหละครับ.“ซูม”