อดีตนายจ้างชาวไทยบางท่านที่เคยมีลูกจ้างเป็นแรงงานเวียดนามเมื่อสิบกว่าปีก่อนอาจจะรับไม่ได้กับข่าวความก้าวหน้าของเวียดนาม เดี๋ยวนี้คนงานเวียดนามในไทยน้อยลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มี เมื่อ 15 ปีที่แล้ว พนักงานเสิร์ฟแถวลาดกระบัง หนองจอก ไปจนถึงชลบุรี พัทยา ส่วนใหญ่มาจากเวียดนามภาคกลาง ส่วนเด็กรับรถตามภัตตาคารร้านรวงมักจะมาจากอำเภอห่งลิง จังหวัดฮาติงห์ เรื่องนี้ไม่ใช่เขียนเล่นๆ มีคนไปทำสารคดีสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลแรงงานเวียดนามเหล่านี้อย่างละเอียดมาแล้วเผลอแว้บแป้บเดียว เวียดนามมีเศรษฐกิจก้าวกระโดดก่อนหน้าจะมีโควิด-19 ระบาด เวียดนามก็มีเศรษฐกิจที่ร้อนแรงกว่าประเทศอื่นในอาเซียนอยู่แล้ว หลังจากมีโควิด-19 ระบาด หลายประเทศมีการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นลบ อย่างของไทย สภาพัฒน์ออกมาแถลงว่า พ.ศ.2563-2564 เศรษฐกิจไทยติดลบร้อยละ 6.1เวียดนามเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เศรษฐกิจเป็นบวก แม้ว่าจะอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ยังเติบโตได้ อย่างเมื่อปีที่แล้ว พ.ศ.2563 จีดีพีเวียดนามโตร้อยละ 2.9 ปีนี้ พ.ศ.2564 มีการทำนายทายว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะโตถึงร้อยละ 6.5-7.5 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดเสียอีกเวียดนามได้เปรียบตรงที่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เวียดนามส่งคณะไปเยือนและเจรจาด้านการค้ากับประเทศต่างๆเกือบทั่วโลก เวียดนามสำเร็จในวันนี้ได้เพราะความขยันขันแข็งของผู้คนในรัฐบาล เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีการลงนามเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับมากกว่า 50 ประเทศใครไปลงทุนผลิตสินค้าในเวียดนาม เมื่อได้ผลผลิตแล้วก็สามารถส่งไปขายในประเทศต่างๆโดยที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า หรือถ้าเสียก็น้อยมาก นี่คือแต้มต่อของเวียดนามนอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องของการเมืองที่นิ่งมาเป็นเวลาหลายสิบปี 1 กุมภาพันธ์ 2564 ฯพณฯ เหงียน ฟู้ จ่อง ได้รับการรับรองจากสภาแห่งชาติเวียดนามให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีและเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 3 และพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ให้ความเห็นชอบในการปรับเป้าหมายตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติในช่วง 5 ปี พ.ศ. 2564-2569 ให้มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มจากเดิมก่อนหน้านี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามอยู่ที่ร้อยละ 6 แต่ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับใหม่ ตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 6.5-7 อ่านถึงตรงนี้ ผู้อ่านท่านที่เคารพก็คงจะนึกถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงปลายของเติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมิน และหูจิ่นเทา ซึ่งเศรษฐกิจจีนในยุคนั้นร้อนแรงแบบเดียวกับที่เวียดนามเป็นอยู่และกำลังจะเป็นเมื่อเขียนเรื่องดีๆของเวียดนามก็จะมีบางคนที่รับไม่ได้ออกมาตะโกนก้องร้องบอกว่าตนเองเคยไปเวียดนามมาก่อน เวียดนามไม่ได้เจริญอย่างที่เขียนดอกครับ/ค่ะ พอถามว่าคุณเคยไปมาเมื่อใด ก็ได้รับคำตอบว่า ไปเที่ยวมาเมื่อ 10-20 ปีที่แล้วตอนนี้ สถานะใหม่ของเวียดนามคือ ศูนย์กลางการผลิตของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นซัมซุง อินเทล แอปเปิ้ล (ฐานการผลิตไอแพด) แอลจี (ฐานการผลิตพาเนลโทรทัศน์ OLED) ฯลฯ เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามอัดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมุ่งมั่น วันนี้ เมื่อมีโรงงานระดับโลกมาตั้ง เวียดนามจึงไม่ขาดแรงงานที่มีคุณภาพรัฐบาลเวียดนามมีความสนใจเรื่องการผลิตในเชิงปริมาณน้อยลง แล้วหันไปสนใจการผลิตเชิงคุณภาพ ต้องการเขยิบตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ฯพณฯ เหงียน ฟู้ จ่อง บอกกับชาวเวียดนามทั้ง 100 ล้านคนว่า ภายในพุทธศักราช 2588 เวียดนามจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วโดยสมบูรณ์ และท่านมีความมุ่งมั่นที่จะปราบล้างคอร์รัปชันภายในพรรคคอมมิวนิสต์และภายในประเทศให้หมดสิ้นไปฟังผู้นำเวียดนามแล้วก็สบายใจว่า ต่อไปในอนาคต ภูมิภาคอาเซียนของเราจะมีอย่างน้อย 2 ประเทศที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์คือสิงคโปร์และเวียดนาม.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com