การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลายเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่สุด ที่คุกคามคนทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน เพราะคร่าชีวิต ผู้คนไปแล้วกว่า 2.4 ล้านคน จากทั้งหมดที่ติดเชื้อเกือบ 110 ล้านคน ผลการสำรวจของสถาบันของสิงคโปร์แห่งหนึ่ง พบว่าประชากรใน 10 ประเทศ ของประชาคมอาเซียนถึง 76% ระบุว่าโควิดเป็นภัยร้ายแรงสุดตามด้วย 63% ที่มองว่าการว่างงานเป็นภัยคุกคาม บวกกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย คนอาเซียนถึง 40% เห็นว่าช่องว่างทางสังคมและเศรษฐกิจที่พูดกันง่ายๆว่า “ความเหลื่อมลํ้า” ที่พุ่งสูงก็เป็นภัยร้ายแรง ปัญหาความเหลื่อมลํ้า มีคนไทยถึง 56.5% ที่มองว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคนไทยยังมีความเห็นต่างจากเพื่อนบ้านอาเซียนอื่นๆอีก นั่นก็คือมีคนไทยถึงเกือบ 65% มองว่าโควิดเป็นภัยคุกคาม 55% ระบุอัตราการว่างงานและเศรษฐกิจถดถอย และยังมีอีก 52.7% ที่เห็นว่าความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองภายใน เป็นภัยคุกคามที่ท้าทายอย่างหนึ่งของประเทศเป็นความเห็นที่ตรงกับนักวิเคราะห์หลายคน ที่มองว่าในบรรดาอาเซียน 10 ประเทศ ไทยเป็นประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองบ่อยที่สุด เปลี่ยนรัฐบาลบ่อยที่สุด และมีรัฐประหารมากที่สุด มีพม่าเพียงประเทศเดียว แต่มีเพียง 3 ครั้ง ในเกือบ 60 ปี ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์การไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยืดเยื้อ กระทบต่อภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทย ในสายตาของชาวโลก ไทยอาจจะมีปัจจัยบวกมากมาย เป็นประเทศที่น่าลงทุนและน่าท่องเที่ยว แต่ความขัดแย้งการเมืองที่เกิดบ่อยครั้ง รัฐประหาร และการฉีกรัฐธรรมนูญบ่อยๆ กลายเป็นปัจจัยบ่อนทำลาย ขณะนี้ ก็มีความขัดแย้งอยู่แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประเทศ ประชาธิปไตยทั่วโลก ถือเป็นอำนาจ หน้าที่ของรัฐสภา แต่กลับกลายเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งในประเทศไทย บางคนชี้หน้า ส.ส.ที่ร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ทั้งที่แก้ไขให้เรื่องน่าเศร้าก็คือ แม้แต่รัฐบาลที่เข้าสู่อำนาจ ด้วยรัฐประหารแบบ คสช. จะได้ให้สัญญาประชาชนอย่างหนักแน่น จะขจัดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดองในสังคม แต่กลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง เพราะยึดติดอำนาจ ไม่ยอมเปิดทางให้ประชาชนเข้าไปมีส่วน ในการเมืองที่แท้จริง.