ไทย-พม่า พม่า-ไทย แยกกันไม่ออกแล้ว ตามแนวโน้มสถานการณ์ภายใต้ท้องเรื่องเดียวกัน ฉากม็อบท้าทายอำนาจท็อปบูต คลื่นมวลชนคนรุ่นใหม่ ชนชั้นปัญญาชนเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจทหารครองเมือง ณ จุดใกล้ทะลุองศาเดือดเลือดพล่านสถานการณ์ในพม่า แพทย์ พยาบาล ข้าราชการ พนักงานห้างร้าน นัดหยุดงาน อารยะขัดขืน ชนกลุ่มน้อยเคลื่อนไหวใหญ่ ตอบโต้ “มิน อ่อง หล่าย” ผู้นำทหารเฒ่า ที่ไฟเขียวตำรวจคุมตัวผู้ชุมนุมได้โดยไม่ต้องขอหมายศาล ทหารใช้กระสุนยางยิงใส่ม็อบ ซ้อมลองเป้าจ่อกระสุนจริง ระทึกเสียงปืนปังแรกแต่ที่ประเทศไทยแซงปาดหน้า กับภาพตำรวจควบคุมฝูงชนรุมสกรัม “แพทย์อาสา” มวลชนราษฎร ระหว่างการสกัดกลุ่มผู้ชุมนุม “13 กุมภาฯ” กำลังเป็นชนวนโหมไฟเผาเมืองตามท้องเรื่องที่ย้อนแย้งกันไปคนละทาง สวนกันแบบขาวกับดำด้านหนึ่ง ฝ่ายบิ๊กตำรวจยืนกรานเสียงแข็ง เหยื่อที่โดนตื้บไม่ใช่ทีมแพทย์อาสา ไม่ได้เป็นพยาบาล แค่มาช่วยงานปฐมพยาบาลม็อบราษฎรย้อนศรมวลชนเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าหน้าที่บาดเจ็บระนาวโดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นแบ็กอัป แอ่นอกหนุนปฏิบัติการของตำรวจ ล้อไปกับปฏิบัติการไอโอทหาร ยุทธการโหมตีปี๊บผ่านสื่อเลือกข้าง โพลเชียร์ท็อปบูต สนับสนุนฝ่ายความมั่นคง ลงมือขั้นเด็ดขาดกับม็อบเด็กป่วนเกินพิกัดปั่นกระแสความชอบธรรม พร้อมจัดหนักม็อบต้านทหารเฒ่าขณะที่ฝ่ายแกนนำมวลชนราษฎร โห่ร้องประจานตำรวจใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง กับผู้ชุมนุม นักเรียน นิสิต นักศึกษา ไม่ปฏิบัติตามหลักสากลในการเริ่มจากมาตรการเบาไปหาหนัก ทั้งๆที่มวลชนชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกขังในเรือนจำจากกฎหมาย มาตรา 112ตีปี๊บฟ้องประชาคมโลก ผ่านองค์การสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นตามฟอร์มแนวร่วมมวลชนรุ่นใหม่ ได้จังหวะใช้ฉาก “ตำรวจกระทืบทีมแพทย์อาสา” เป็นน้ำมันเบนซินออกเทนสูง ราดกองไฟ โหมเพลิงนัดชุมนุมใหญ่ 20 กุมภาพันธ์ม็อบเด็กปั่นเกมแลกเลือด ลุยฉีกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทยเกมบู๊บนถนนไต่ระดับเข้าสู่โหมดแตกหัก ตามเสียงขู่ของ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม หัวขบวนม็อบราษฎร เขียนอักษรด้วยสีแดงเลือด ขีดเส้นตายให้เวลา 7 วัน ต้องปล่อยตัวแกนนำที่โดนคุมขังอยู่ในเรือนจำอารมณ์เด็กรุ่นใหม่ ไม่ได้ยำเกรงอำนาจทหารเฒ่าซะแล้วที่สำคัญมีการวางแนวยุทธศาสตร์การรบชิงพื้นที่อย่างระบบ เกมม็อบตีคู่ขนานไปกับเกมการเมืองในสภา ตามเกมที่แกนนำมวลชนราษฎรประกาศเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภา ล้อไปกับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะปะฉะดะกันในวันที่ 16-19 และลงมติในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ล็อกเดดไลน์นัดชุมนุมใหญ่ ตรงกับวันโหวตไม่ไว้วางใจลากเชื้อไฟในสภามาโหมกระพือเวทีม็อบตามคำตอบที่รู้กันอยู่แก่ใจ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาคงจบแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ แม้จะมี “หมากซ่อนแต้ม” ในทีมพลังประชารัฐ เดิมพันชิ่งหนีบ๊วยของคนที่อยู่ในข่ายเสียววาบ ทั้ง “เสี่ยตั้น” นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานประจานต้นทุนหน้าตัก ลากไปถึงคิวปรับ ครม.ตามตัวเลขโควตาแต่ก็คงไม่มีใครถึงขั้นแพ้โหวตฝ่ายค้าน ตายคาสภาตามฟอร์มการเมืองพันธุ์เก่า แบบที่ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ประกาศมัดคอ ส.ส.ตั้งแต่ยังไม่ทันฟังข้อมูลอภิปรายล็อกการโหวตพรรคร่วมรัฐบาลต้องไปในทิศทางเดียวกันนั่นยังไม่นับอารมณ์ไม่ไว้วางใจการทำหน้าที่ของแกนหลักฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่หมดราคามาตั้งแต่การชกไม่สมศักดิ์ศรีในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่แล้วทำให้เด็กรุ่นใหม่มองสภาพึ่งไม่ได้ ต้องลากไปลุยนอกสภา.ทีมข่าวการเมือง