เดินหน้าซักฟอก หรือแค่ฉากผ่าน เริ่มต้นวันแรกที่พรรคฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งกำหนดเอาไว้ 4 วัน คือ 16-19 ก.พ.64 แล้วไปลงมติในวันที่ 20 ก.พ.64จะดับ “3 ป.” ได้หรือไม่...ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายค้านล้วนๆว่าไปแล้วรัฐบาลชุดนี้ความมั่นคงแข็งแกร่งนั้นลอกคราบมาจาก คสช.อย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งด้วยรูปแบบ “ประชาธิปไตย” ครึ่งใบมี ส.ว. 250 คน เป็นพลังเสริมหนุนที่หนักแน่น“พลังประชารัฐ” เป็นพรรคการเมืองใหม่ที่ชนะการเลือกตั้งจนได้เป็นแกนนำรัฐบาลพร้อมด้วยพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา เป็นลมใต้ปีกพยุงพรรคเล็กพรรคน้อยถูกรวบมาอยู่ในแผงเดียวกันแม้จุดเริ่มต้นจะเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น เพราะเสียงสนับสนุนไม่มั่นคงเกิดปัญหามาตลอด แต่สุดท้ายก็มัดรวมกันได้ต้องรับว่าเป็นความสามารถทางการเมืองที่แพรวพราวพอสมควรแต่ที่ทำให้รัฐบาล “ประยุทธ์” สามารถรักษาอำนาจมาได้จนถึงวันนี้นั้นต้องถือว่ามีโชคเข้ามาช่วยด้วยเพราะเหตุ 2 ประการ1. อำนาจแฝงได้เข้ามาสนับสนุนเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน2. ฝ่ายค้านยังไม่เฉียบขาดพอที่จะเอาชนะหรือล้มรัฐบาลได้จริงๆแล้วรัฐบาลก็ไม่ได้มีผลงานหรือได้ใจประชาชนเท่าใดนัก แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงไปไม่ถึงสุดทางได้...แต่ก็อยู่กันไปด้วยความ “อึดอัด” เหมือนไม่มีทางออกยิ่งโควิด-19 ที่แพร่ระบาดได้เข้ามามีส่วนสำคัญต่อสถานการณ์แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ไปทั้งโลก แต่ก็เอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาลชุดนี้ที่สำคัญก็คือฝ่ายค้านเองก็ไม่ใช่ “มืออาชีพ” เพราะเคยเป็นรัฐบาลมาตลอดจึงไม่ค่อยสันทัดในการทำหน้าที่เท่าใดนักจึงมุ่งไปที่การเป็น “ฝ่ายแค้น” มากกว่าพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่อย่างอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นที่หวังว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบวกกับ “ม็อบ” ให้การสนับสนุนอย่างมีพลัง ซึ่งแรกๆ ว่าไปแล้วรัฐบาลก็เป๋ไปเหมือนกันคือแทบจะเอาตัวรอดไม่ได้แต่ทั้ง 2 ส่วนนี้กลับ “แพ้ภัย” ตัวเองและทำท่าจะกู่ไม่กลับ เพราะขาดการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ ทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ไม่เป็นเอกภาพคือคิดการใหญ่มุ่งผลสำเร็จ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงด้วยองค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้คงทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ นอกจากเสียงสนับสนุนที่น้อยกว่าแล้วยังไม่มีประเด็นอะไรที่จะทำให้รัฐบาล “อยู่หมัด” ได้ว่าไปแล้วหากถามคนไทยทั้งประเทศถึงสถานการณ์และความเป็นไปทางการเมืองเหล่านี้หาใช่ว่าจะพึงพอใจเท่าใดนักเพราะมันรู้สึก “อึดอัด” และ “เบื่อหน่าย” เต็มประดาแล้วนั่นย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.“สายล่อฟ้า”