เมื่อ 10 ก.พ. ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต่อสายโทรศัพท์คุยกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนเป็นครั้งแรก โดยยกประเด็นที่กังวลเกี่ยวกับแนวทางการค้าที่มีการบีบบังคับและไม่เป็นธรรมของจีน รวมถึงการกวาดล้างผู้ที่เห็นต่างกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียง ภาคตะวันตกของจีน หลังไม่กี่ ชม.ก่อนหน้าที่ ปธน.ไบเดนประกาศแผนตั้งทีมเฉพาะกิจฝ่ายป้องกันตนเองกับจีน และสั่งให้มีการทบทวนยุทธศาสตร์ทางทหารกับจีนทันที แต่ก็ให้คำมั่นระหว่างที่เยือนกระทรวงกลาโหม หรือเพนตากอนของสหรัฐฯ ว่ารัฐบาลจะใช้กำลังทหารในการสู้รบเป็นทางเลือกสุดท้ายทั้งนี้ ปธน.ไบเดนใช้เวลาช่วง 3 สัปดาห์แรกของการเข้าทำงาน ต่อสายคุยกับผู้นำหลายประเทศในแถบภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยพยายามส่งสารให้รู้ว่าจะใช้วิธีปฏิบัติกับจีนที่แตกต่างไปจากอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่นายแอนโธนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายโทชิมิตสุ โมเตกิ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น กังวลถึงท่าทีการรุกคืบของจีนบริเวณพื้นที่พิพาททางทะเลรอบหมู่เกาะเซนกากุ ทีี่จีนเรียกว่าเตี้ยวหยูมากขึ้น หลังจีนออกกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยกองกำลังรักษาชายฝั่งทะเล พร้อมย้ำว่าหมู่เกาะเซนกากุยังคงครอบคลุมตามมาตรา 5 ว่าด้วยสนธิสัญญาความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน ซึ่งทั้งสองประเทศจะร่วมกันปกป้องหากอีกฝ่ายถูกโจมตี.