สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเก่าแก่ที่สุดในโลก ย้อนกลับไปได้ถึงยุคกลาง เมื่อผู้ชายแม้จะมีฐานะต่ำกว่า แต่ก็มีอิสระในการพบปะกันในการประชุมประจำปีและลงคะแนนเสียงโดยตรงในประเด็นต่างๆโดยการยกมือหรือใช้อาวุธของพวกเขา ประเพณีนี้ได้ดำเนินมาหลายศตวรรษ แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดหายไปในประเทศที่ภาคภูมิใจในรูปแบบของประชาธิปไตยทางตรง ก็คือ “ผู้หญิง” ชาวสวิสไม่มีส่วนร่วมในทางการเมืองของประเทศจนถึงปี 1971 หรือ พ.ศ.2514 เมื่อ 65.7% ของชายชาวสวิสผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเห็นชอบต่อการแก้รัฐธรรมนูญของสมาพันธรัฐ ให้ผู้หญิงชาวสวิสได้รับสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกัน ผ่านการลงประชามติทั่วประเทศตามระบอบประชาธิปไตยทางตรงและเมื่อ 7 ก.พ.ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 50 ปีของสตรีชาวสวิสที่มีสิทธิลงคะแนน ถือเป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียมทางเพศ เรียกได้ว่าเป็นการถือกำเนิดของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศสุดท้ายในยุโรปที่ให้สิทธิผู้หญิงในการลงคะแนนเสียง เกือบ 80 ปีตามหลังนิวซีแลนด์ที่เป็นประเทศแรกในโลกที่ให้สิทธิผู้หญิงเท่าเทียมกับชายในปี พ.ศ.2436 หลังฟินแลนด์ 65 ปี และเกือบ 3 ทศวรรษหลังฝรั่งเศสในอดีตสิทธิในการลงคะแนนเสียงเชื่อมโยงกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตั้งแต่เริ่มต้นประชาธิปไตย เนื่องจากในอดีตผู้หญิงไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินจึงถูกกีดกันจากการลงคะแนนเสียง ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 ดินแดนและหลายประเทศเริ่มให้สิทธิสตรีในการลงคะแนนเสียง โดยนิวซีแลนด์ซึ่งสตรีชาวเมารีเป็นเจ้าของที่ดินแม้จะมีสิทธิในการลงคะแนน ก็ใช่ว่าจะมีความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง สตรีชาวสวิสหลายแสนคนประท้วงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นด้านค่าจ้าง หรือตำแหน่ง การขาดผู้หญิงเป็นตัวแทนของรัฐบาล รวมถึงกฎหมายครอบครัวอันอื้อฉาวที่สตรีที่แต่งงานแล้วไม่สามารถมีบัญชีธนาคารของตัวเอง รวมทั้งต้องขออนุญาตสามีในการทำงานหรือเซ็นสัญญาและเอกสารต่างๆ และไม่สามารถเลือกได้ว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน แม้ประชาธิปไตยจะดี แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็ยังล้าหลังเพื่อนบ้านในยุโรป ในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ในขณะที่บ้านเราหญิงชายมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 แต่มาถึงวันนี้ เราเข้าใจ สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ สมภาพ และภราดรภาพ ตามระบอบประชาธิปไตย ถ่องแท้ดีแล้วหรือยัง.อมรดา พงศ์อุทัย